อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ ๓
(เลิศศักดิ์
คำคงศักดิ์)
ความคลุมเครือที่กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดของขบวนการประชาชนที่ต่อสู้เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมและกฎหมายภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเพื่อเปลี่ยนจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตก็คือ การเปลี่ยนเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตจะสามารถเปลี่ยนนิยาม “ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ” ได้หรือไม่ ทั้งนี้ ฝ่ายนำของขบวนการประชาชนที่ต่อสู้เรียกร้องให้ยกเลิกการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่
๒๑ ได้ปล่อยให้แนวร่วมชนชั้นกลางและชนชั้นนำในกรุงเทพฯเข้ามายึดกุมความคิดและควบคุมการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชนไว้แทบหมดสิ้นแล้ว ซึ่งแนวร่วมชนชั้นเหล่านั้นมีเป้าหมายเพียงแค่การแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมเพื่อเปลี่ยนจากระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตเท่านั้นพอ เพราะสิ่งที่ต้องการก็คือผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับมากขึ้นจากระบบแบ่งปันผลผลิต นอกจากนั้น พวกเขามีความคิดและมุมมองเช่นเดียวกับรัฐ ดังนั้น เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นเจ้าของทรัพยากรปิโตรเลียม การรักษานิยามความหมายให้ปิโตรเลียมเป็นของรัฐจะเป็นหลักประกันได้ดีที่สุดว่ารัฐสามารถมีอำนาจบีบบังคับให้ประชาชนเปิดทางเพื่อขนเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการขุดเจาะสำรวจ ผลิต วางท่อขนส่งและก่อสร้างโรงแยกก๊าซบนที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองของประชาชนเอง รวมทั้งที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันด้วย เพื่อข่มขู่บังคับให้มีพลังการต่อต้านขัดขืนจากประชาชนให้น้อยที่สุด
นอกจากประเด็นเรื่องปิโตรเลียมเป็นของรัฐ ยังมีสารัตถะอื่นของกฎหมายปิโตรเลียมที่จะได้นำมากล่าวไว้ด้วยในบทความนี้
ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ
“มาตรา ๒๓ ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ ผู้ใดสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในที่ใดไม่ว่าที่นั้นเป็นของตนเองหรือของบุคคลอื่น ต้องได้รับสัมปทาน
การขอสัมปทานให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
แบบสัมปทานให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง”
มาตรา ๒๓ ถือว่าเป็นหัวใจของกฎหมายปิโตรเลียม หรือพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ซึ่งสามารถอธิบายระบบกรรมสิทธิ์ในปิโตรเลียมได้ชัดเจนที่สุดว่าใครคือเจ้าของทรัพยากรนี้ แม้ปิโตรเลียมจะอยู่ใต้ถุนบ้านของเราก็ไม่ถือว่าปิโตรเลียมนั้นเป็นสิทธิและทรัพย์สมบัติของเจ้าของที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นที่ดินมีกรรมสิทธิ์หรือมีเพียงสิทธิครอบครองก็ตาม และถึงแม้จะแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมเพื่อเปลี่ยนจากระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตก็ไม่ได้หมายความว่าปิโตรเลียมจะไม่เป็นของรัฐอีกต่อไปแล้ว เพราะมันเป็นคนละประเด็นกัน ไม่ได้แปรผันตามกันดังที่ตัวแทนบางท่านของขบวนการประชาชนออกมาให้ความเห็นต่อสาธารณะด้วยความเข้าใจผิดในทำนองว่า การเปลี่ยนไปใช้เป็นระบบแบ่งปันผลผลิตจะทำให้ทรัพยากรปิโตรเลียมเป็นของประชาชน แต่ตัวแทนบางท่านก็ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณะว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตในกิจการปิโตรเลียมจะทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น และถึงแม้จะอธิบายขยายความเพิ่มเติมอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่ารายได้ที่รัฐได้เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนไปใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตเป็นส่วนเดียวกันกับผลประโยชน์หรือรายได้ของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายและโครงการพัฒนาปิโตรเลียมหรือไม่ อย่างไร
และรวมทั้งสิ่งที่ยังครอบงำอยู่
นั่นคืออำนาจในการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียม
หากยังคงอยู่ภายใต้หลักการปิโตรเลียมเป็นของรัฐก็ไม่มีทางที่จะถ่ายเทหรือเปลี่ยนมือมาสู่ประชาชนได้อย่างแน่นอน
เพราะการบัญญัติหรือกำหนดให้ปิโตรเลียมเป็นของรัฐจะเป็นหลักในการตีความกฎหมายในเชิงปกป้องการกระทำของรัฐเป็นหลัก หน่วยงานรัฐจะบริหารจัดการปิโตรเลียมอย่างไรก็ได้เพื่อให้เกิดประโยชน์และรายได้เข้าสู่รัฐ นำไปสู่การดำเนินการตัดสินใจอนุมัติ/อนุญาตโครงการต่าง ๆ โดยไม่เห็นความสำคัญของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ละเลยไม่ถามความเห็นและรับฟังประชาชนผู้อาจได้รับผลกระทบก่อน เพราะคิดว่าตนคือรัฐ และรัฐเป็นเจ้าของปิโตรเลียม ทั้งที่จริงแล้วรัฐเป็นเพียงผู้ได้รับมอบอำนาจจากประชาชนทั้งหมดให้ทำหน้าที่บริหารจัดการแทนเท่านั้น
ต่างจากกฎหมายน้ำหรือกฎหมายทรัพยากรน้ำที่ย้อนหลังไปในช่วงเริ่มต้นของทศวรรษ
๒๕๔๐
ขบวนการประชาชนได้รวมพลังคัดค้านธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาแห่งเอเชียหรือเอดีบีที่บังคับให้รัฐไทยต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจและออกกฎหมายหลายฉบับ รวมทั้งกฎหมายน้ำด้วย
ซึ่งเป็นเงื่อนไขเพื่อแลกกับการกู้เงินนำมาฟื้นฟูประเทศจากวิกฤติเศรษฐกิจปี
๒๕๔๐ ที่ต้องบัญญัติให้ “น้ำเป็นของรัฐ” ในการต่อสู้คัดค้านกฎหมายน้ำเป็นเวลาหลายปีต่อมากับองค์กรการเงินระหว่างประเทศและกับหน่วยงานราชการของไทยเองจนล่วงเลยเข้าสู่ทศวรรษ
๒๕๕๐ รัฐและราชการไทยจึงยอมตัดบทบัญญัติคำว่าน้ำเป็นของรัฐออกจากร่างกฎหมายน้ำ
ในส่วนของทรัพยากรแร่ก็มีปัญหาคล้ายคลึงกัน ในต้นปี ๒๕๕๒
ได้มีการเสนอ ‘ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยแร่ พ.ศ. ....’ โดยบัญญัติให้ “แร่เป็นของรัฐ” เช่นเดียวกัน จนล่วงถึงปลายปี ๒๕๕๓ กระทรวงอุตสาหกรรมก็ขอถอนร่างฯ ดังกล่าวออกในชั้นการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพราะเห็นว่าร่างฯ ดังกล่าวมีหลายขั้นตอนไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะหลักการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียยังไม่ชัดเจน และมีผลกระทบต่อสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญฯ
๒๕๕๐ ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นโต้งแย้งที่สำคัญ ต่อมา ร่างกฎหมายแร่ฉบับต่อจากนั้น โดยเฉพาะฉบับที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลเผด็จการทหาร
คสช. เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ได้ตัดบทบัญญัติคำว่าแร่เป็นของรัฐทิ้งไป
อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรปิโตรเลียมของประเทศต้องอยู่บนหลักการว่าเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน และเมื่อมีกรณีที่ประชาชนอาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายหรือโครงการพัฒนา หรืออาจมีผลต่อสมบัติส่วนรวม รัฐต้องย้อนกลับมาถามความคิดเห็นจากประชาชนก่อน การบัญญัติให้ปิโตรเลียมเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคนจะทำให้เห็นเจตนารมณ์ในการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ได้ชัดเจนขึ้นว่าต้องเป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนทุกคน มิใช่เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
ดังนั้นแล้ว
ข้อท้้าทายในการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมตามบัญชาของรัฐเผด็จการทหาร คสช.
ที่จะทำให้แล้วเสร็จภายในสามเดือน นับแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์
๒๕๕๘
และเป็นหมุดหมายที่ดีที่สุดของขบวนการประชาชนที่อุตสาหะลงทุนทั้งแรงกายแรงใจเพื่อผลักดันให้รัฐยกเลิกการเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่
๒๑ ก็คือต้องแก้ตรงมาตราที่เป็นหัวใจ นั่นคือมาตรา ๒๓ โดยต้องเปลี่ยนบทบัญญัติจากปิโตรเลียมเป็นของรัฐให้ “ปิโตรเลียมของเป็นของประชาชน” รวมทั้งต้องให้ทรัพยากรปิโตรเลียมเป็นสิทธิและทรัพย์สมบัติติดที่ดินของผู้เป็นเจ้าของที่ดินทั้งโดยมีกรรมสิทธิ์หรือมีเพียงแค่สิทธิถือครองก็ตาม ตรงจุดนี้เท่านั้น ถึงจะเป็นหลักประกันว่าการเปลี่ยนไปใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตจะเป็นระบบที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ของรัฐและผู้รับสัมปทาน ส่วนรัฐก็ให้มีหน้าที่ปกติในการอนุมัติ/อนุญาตให้เกิดการแบ่งปันผลผลิตโดยสร้างกติกาที่เคารพสิทธิและทรัพยากรปิโตรเลียมที่ติดที่ดินของบุคคลและสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ
พื้นที่เกาะที่อยู่ในเขตแปลงสำรวจ
“มาตรา ๒๘ ในการให้สัมปทาน ให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกําหนดเขตพ้ืนที่แปลงสํารวจโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เขตพื้นที่แปลงสำรวจที่มิใช่อยู่ในทะเล
ให้กำหนดพื้นที่ได้ไม่เกินแปลงละสี่พันตารางกิโลเมตร
เขตพื้นท่ีแปลงสํารวจในทะเล ให้รวมถึงพี้นที่เกาะที่อยู่ในเขตแปลงสํารวจน้ันด้วย”
นี่คือมาตรา
๒๘
ที่ถูกแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่
๖) พ.ศ. ๒๕๕๐
ซึ่งเป็นการแก้ไขครั้งล่าสุด
ที่แปลงสำรวจบนบกสามารถขอสัมปทานได้ไม่เกินแปลงละสี่พันตารางกิโลเมตร แต่ไม่ระบุให้จำกัดจำนวนแปลง ส่วนการขอสัมปทานแปลงสำรวจในทะเลไม่กำหนดขนาดพื้นที่เอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการสำรวจในทะเลห่างไกลและมีน้ำลึกที่ต้องลงทุนด้วยความเสี่ยงสูง จึงเปิดโอกาสให้ขอได้ขนาดใหญ่มาก ๆ
แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือการยกพลขึ้นเกาะที่อยู่ในเขตแปลงสำรวจของผู้รับสัมปทาน (ถ้ามีเกาะที่ใหญ่โตพอที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ได้) จะทำให้ผู้รับสัมปทานซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนข้ามชาติสามารถมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้โดยปริยายหรือไม่
หรือสามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้โดยรัฐต้องประกาศใช้กฎหมายเวนคืนที่ดินตามมาตรา
๖๕, ๖๗ และ ๖๘[๑] ของกฎหมายปิโตรเลียมเพื่ออำนวยความสะดวกหรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้รับสัมปทานให้ถึงที่สุดได้อีกด้วยหรือไม่
คณะกรรมการปิโตรเลียม
มาตรา ๑๕
ของกฎหมายปิโตรเลียมกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการปิโตรเลียมไว้ ๑๕ คน ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการประจำ โดยปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน อธิบดีกรมที่ดิน อธิบดีกรมประมง อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมสรรพากร
เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ทรงคุณวุฒิอีกห้าคนเป็นกรรมการ ข้อสงสัยในประเด็นแรกก็คือกรรมการในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิที่ถูกกำหนดว่าจะต้องไม่เป็นข้าราชการในส่วนราชการที่มีกรรมการโดยตำแหน่งสังกัดอยู่ ซึ่งสามารถตีความในขอบเขตกว้างมาก ตัวอย่างเช่น
ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงพลังงานแต่ไม่ได้สังกัดสำนักงานนโยบายพลังงานซึ่งอยู่ในส่วนราชการที่มีกรรมการโดยตำแหน่งอยู่แล้วหนึ่งตำแหน่ง
ผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวก็สามารถเป็นกรรมการปิโตรเลียมได้ใช่หรือไม่ ดังนั้นแล้ว
ถ้านับรวมผู้ทรงคุณวุฒิตามความเข้าใจนี้ก็แสดงว่าคณะกรรมการปิโตรเลียมทั้ง
๑๕ คน เป็นข้าราชการประจำทั้งหมด หาผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเป็นอิสระจากระบบราชการไม่ได้เลยแม้สักคนเดียว
แต่ถ้าไม่ได้เป็นไปตามข้อสงสัยดังที่กล่าวมา ก็ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่ง กล่าวคือ
มาตรา ๑๖/๑ (๖) ได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ทรงคุณวุฒิเอาไว้ว่าต้องไม่เป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร
หรือผู้มีอำนาจในการจัดการหรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลหรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจหรือดำเนินกิจการด้านปิโตรเลียม และไ่ม่ประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอื่นใดที่มีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์ขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการ คำถามก็คือ
ทำไมกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเฉพาะกรรมการที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิเท่านั้น
ซึ่งเป็นการกำหนดที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เนื่องจากว่า
กรรมการปิโตรเลียมที่มาจากส่วนราชการเองล้วนเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์โดยตรงในทางนโยบายและโครงการพัฒนาปิโตรเลียมที่หน่วยงานตนเองผลักดันให้เกิดขึ้น
ซึ่งต้องถือว่าเป็นการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพโดยเอาตำแหน่งไปพัวพันกับส่วนได้ส่วนเสียกับสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่หน่วยงานตนเองผลักดันเข้ามาโดยตรง
หรือมีผลประโยชน์สอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่สองตำแหน่ง ระหว่างตำแหน่งข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่หน่วยงานตนเองผลักดันให้เกิดขึ้น
กับตำแหน่งกรรมการปิโตรเลียมที่ต้องไปนั่งเพื่อสนับสนุนให้สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่หน่วยงานตนเองชงเรื่องเข้ามาเพื่อให้ผ่านความเห็นชอบดำเนินโครงการให้ได้
ดังนั้นแล้ว
รูปแบบของคณะกรรมการปิโตรเลียมควรเป็นอิสระจากการกำกับควบคุมจากรัฐพอสมควร
เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนในทางนโยบายที่จะเกิดขึ้นได้
บทลงโทษ
๑. ในกรณีพื้นที่สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกที่นามูล-ดูนสาด ซึ่งเป็นเขตรอยต่อของ อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ กับ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น ที่ประชาชนในนามกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาดต่อต้านการขนอุปกรณ์และเครื่องจักรสำหรับหลุมขุดเจาะสำรวจของบริษัท
อพิโก้ (โคราช) จำกัด ที่เป็นผู้ได้รับสัมปทาน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ สด ๆ ร้อน ๆ ที่ผ่านมา เนื่องจากว่าไม่ปฏิบัติตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
หรือ EIA ที่ระบุว่าบริษัทหรือรวมทั้งส่วนราชการต้องแจ้งการขนเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้ประชาชนในพื้้นที่ทราบก่อนล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า
๑๕ วัน แต่กลับขนมาโดยไม่แจ้ง ตามมาตรา ๑๒[๒] ของกฎหมายปิโตรเลียมระบุว่า ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามสัมปทานและการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน หรือทำให้รัฐต้องกระทำการเพื่อบำบัดปัดป้องความเสียหาย ผู้รับสัมปทานต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายและค่าใช้จ่ายในการบำบัดปัดป้องความเสียหายดังกล่าวตามจำนวนที่รัฐมนตรีกำหนด ซึ่งมีปัญหาให้ต้องตีความว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามสัมปทานของกฎหมายปิโตรเลียมครอบคลุมหรือคุ้มครองถึงการไม่ปฏิบัติตาม
EIA ของกฎหมายสิ่งแวดล้อมหรือไม่ อย่างไร หรือการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
EIA ของกฎหมายสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามสัมปทานที่ออกโดยกฎหมายปิโตรเลียมหรือไม่ อย่างไร
๒. มาตรา ๗๔[๓] ระบุว่าการประกอบกิจการปิโตรเลียมในทะเล ผู้รับสัมปทานต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรมีชีวิตในทะเล และต่อกิจกรรมอื่น เช่น การเดินเรือ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น แต่บทลงโทษในมาตรา ๑๐๗[4] ปรับเพียงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งเป็นการระวางโทษที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับผลกระทบที่ผู้รับสัมปทานทำให้เกิดขึ้น
๓. เช่นเดียวกับข้อ ๒. ที่กำหนดโทษอ่อนมากไม่สอดคล้องกับความเสียหายที่ผู้รับสัมปทานก่อขึ้น ในมาตรา ๗๕[๕] กรณีที่ผู้รับสัมปทานไม่บำบัดปัดป้องความโสโครกจากน้ำมันและโคลนหรือสิ่งอื่นใดจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม โดนปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทตามมาตรา
๑๐๘[๖] เท่านั้น
อ่าน
อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ ๑
อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ ๒
อ่าน
อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ ๑
อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ ๒
ภาพ : http://thaipublica.org/2013/05/thai-energy-6/
No comments:
Post a Comment