เครือข่ายภาคประชาชนอีสาน หนุนกฎหมายรายงานมลพิษอุตสาหกรรม
(ศูนย์สื่อชุมชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม)
ขอนแก่น : วันที่ 19 มี.ค.58 เวลาตั้งแต่ 09.00 น.- 15.00 น. คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน
(กป.อพช.) ภาคอีสาน ร่วมกับมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้จัดเวที "สัมมนาเพื่อส่งเสริมสิทธิการเข้าถึงข้อมูลมลพิษ กรณี
ปัญหามลพิษและการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" ขึ้น
ที่ห้องประชุมภูผาม่าน โรงแรมขอนแก่นโฮเตล โดยมีองค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ ผู้แทนหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนเครือข่ายประชาชนในพื้นที่ภาคอีสานที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรม
อาทิ พื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี, เหมืองแร่ทองคำ จ.เลย, นิคมอุตสาหกรรม
จ.ขอนแก่น, โรงงานไฟฟ้าชีวมวล จ.สุรินทร์, โรงงานยางพารา จ.ชัยภูมิ
และอุตสาหกรรมเกลือ จ.นครราชสีมา ฯลฯ จำนวนกว่า 100 คน
เข้าร่วมประชุมและอภิปรายแลกเปลี่ยนกันอย่างกว้างขวาง
โดยนายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ เลขาธิการ กป.อพช.อีสาน กล่าวว่า จากแผนพัฒนาอุตสาหกรรมพบว่าในพื้นที่อีสานกำลังจะมีโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า
4 หมื่นโรง
ในขณะที่ฝ่ายทุนและรัฐได้ร่วมมือกันผลักดันโครงการต่างๆ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน
เส้นทางคมนาคมที่รัฐต้องเตรียมไว้ เปิดพื้นที่ให้ต่างชาติเข้ามาเช่าปลูกป่าโดยการไล่ชาวบ้านออกจากป่า
การจัดการน้ำก็จะฟื้นโครงการโขงเลยชีมูล ด้านเหมืองแร่จะมีเหมืองถ่านหินลิกไนต์เพื่อเอามาใช้ในโรงไฟฟ้า
รวมทั้งใต้ดินก็จะขุดเจาะปิโตรเลียมและโปแตชขึ้นมา
ซึ่งโครงการเหล่านี้จะก่อให้เกิดปัญหามลพิษขึ้นตามมามากมาย
"ในสถานการณ์ที่เป็นปรกติ ก็คือตอนที่ไม่มีการรัฐประหารเราจะมีรัฐธรรมนูญ
เป็นกฎหมายสูงสุดในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งชาวบ้านก็จะใช้รัฐธรรมนูญในการปกป้องสิทธิของเรา
นอกจากนี้ก็มีการใช้กระบวนการยุติธรรม เช่นฟ้องศาลปกครอง การยื่นหนังสือค้านในระดับพื้นที่
และการทำข้อมูลชุมชน
เพื่อเป็นเครื่องมือการต่อสู้กับโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อชุมชน"
ด้านนางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้นำเสนอให้ความรู้ความเข้าใจในประเด็น
กฎหมายว่าด้วยการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม (Pollutant Release and Transfer
Register: PRTR) การลดความเสี่ยงของชุมชนจากปัญหามลพิษ
และการผลักดันให้มีการจัดการมลพิษอุตสาหกรรมในอนาคต โดยกล่าวว่า เรากำลังผลักดันให้มีพ.ร.บ.รายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม
หรือเรียกว่า PRTR ซึ่งพื้นที่ที่โรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่แล้วกฎหมายฉบับนี้จะมีประโยชน์ต่อเขามาก
ซึ่งจะมีกลไกในการควบคุม ชาวบ้านจะเข้าถึงข้อมูล เพื่อให้กระบวนการโปร่งใสมากขึ้น
โรงงานอุตสาหกรรมก็จะนิสัยดีขึ้น และเป็นฐานข้อมูลให้หน่วยงานราชการนำข้อมูลไปประเมินความเสี่ยง
ในพื้นที่ที่ยังไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม
ว่าควรจะอนุญาตให้โรงงานลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นไหม
หรือถ้าจะมีควรตั้งพื้นที่ไหนถึงจะเหมาะสม
"เราไม่ควรปล่อยให้ประเทศเราเต็มไปด้วยมลพิษ
โดยที่เราไม่เคยรู้เลยว่าดินน้ำอากาศที่เราอยู่อาศัย ใช้ประโยชน์อยู่มีสารพิษอะไรยังไงบ้าง
ถึงเวลาจริงๆ ที่เราต้องผลักดันกันในเรื่องนี้ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะเป็นตัวควบคุมอย่างหลายๆ
อย่างทำให้คนอยู่ใกล้โรงงานปลอดภัยมากขึ้น
ส่วนพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายอุตสาหกรรมก็จะสามารถเรียกร้องให้มีการประเมินความเสี่ยง
หรือว่าความเหมาะสมของพื้นที่นั้นว่าควรจะตั้งโรงงานอุตสาหกรรมหรือไม่"
ในส่วนของเครือข่ายประชาชนภาคอีสาน
โดยนางสาวณัฐภรณ์ แสงโพธิ์
ชมรมชาวบ้านอนุรักษ์ลำน้ำพอง กล่าวว่า ตนและชาวบ้านในพื้นที่ได้ประสบกับปัญหาความเดือดร้อนจากโรงงานอุตสาหกรรมมากว่า
10 ปีที่ปล่อยมลพิษลงสู่สิ่งแวดล้อม
เช่น ปัญหาน้ำเสีย ทำให้ลำห้วยสาธารณะกลายเป็นคลองระบายน้ำเน่าของโรงงาน
ชาวบ้านไม่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ดินเสีย ทำนาไม่ได้ผล น้ำฝนและน้ำใต้ดินใช้ไม่ได้ต้องซื้อน้ำกินน้ำใช้
ปัญหาฝุ่นละออง และกลิ่นเหม็น ทำให้ชาวบ้านเกิดอาการเจ็บปวดตามมา
เมื่อทนไม่ไหวชาวบ้านจึงลุกขึ้นมาร้องเรียนให้หน่วยงานรัฐแก้ไขปัญหา
จึงมีการตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย และลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหา
แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้
"กฎหมายเกี่ยวกับรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม
ถ้ามีการออกมาจริงก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ชาวบ้านในพื้นที่อย่างมาก
เพราะที่ผ่านมาไม่มีการแก้ไขปัญหาอะไรโรงงานก็เมินเฉย พอชาวบ้านลุกขึ้นมาเรียกร้องก็หาว่าวุ่นวาย"
No comments:
Post a Comment