อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ ๒
(เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์)
หากมุ่งแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมและกฎหมายภาษีเงินได้ปิโตรเลียมตามที่รัฐบาลเผด็จการทหาร
คสช. มีบัญชาให้แล้วเสร็จภายในสามเดือน นับแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์
๒๕๕๘ เฉพาะเพียงแค่การเปลี่ยนระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตตามที่ขบวนการประชาชนหลากหลายกลุ่มก้อนกำลังเรียกร้องกันอยู่ในขณะนี้
ก็เป็นเรื่องยากที่จะสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายและโครงการพัฒนาด้านพลังงาน-ปิโตรเลียมได้ดีพอ
เพราะความไม่เป็นธรรมที่ซ่อนอยู่ในกฎหมายทั้งสองฉบับยังมีอีกหลายประเด็นที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง
นอกจากข้อเสนอให้แก้ไขมาตรา ๒๓
มาตรา ๖๕ มาตรา ๖๗
และมาตรา ๖๘
เพื่อแยกหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเปิดพื้นที่ให้เอกชนเข้ามาสำรวจ ผลิตและวางท่อขนส่งปิโตรเลียมระหว่างบนบกและในทะเลให้แตกต่างกัน และต้องคำนึงถึงการไม่ไปละเมิดกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองที่ดินของบุคคล และรวมทั้งที่สาธารณประโยชน์ท่ี่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเด็ดขาด เอาไว้ในบทความตอนแรก-อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่๑ แล้ว ในบทความชิ้นนี้ก็จะเสนอให้แยกสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมออกจากกันเป็น
๒ สิทธิ ๒ ขั้นตอน
ไม่ใช่ทำสัญญาสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมไว้ด้วยกันตามที่กฎหมายปิโตรเลียมบัญญัติไว้
ปิโตรเลียมในกฎหมายแร่
ช่วงเริ่มต้นของการผลักดันอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาของการใช้พระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่
พ.ศ. ๒๔๖๑
โดยทำการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙
ในช่วงปลายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรก เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อการออกอาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่และประทานบัตรทำเหมืองแร่ปิโตรเลียมขึ้นมาโดยเฉพาะ ที่แตกต่างไปจากการขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่และประทานบัตรทำเหมืองแร่ประเภทอื่น แต่หลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติแร่
พ.ศ. ๒๕๑๐ หรือกฎหมายแร่ ในช่วงเริ่มต้นของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่สองแล้ว เนื้อหาสาระในกฎหมายแร่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการเร่งรัดและสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเลียมให้เจริญเติบโตขึ้นได้ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอุปสรรคขัดขวาง เนื่องจากเป็นแร่ที่มีมูลค่ามหาศาลและแหล่งปิโตรเลียมส่วนใหญ่อยู่ในทะเลมีการแพร่กระจายตัวในพื้นที่ขนาดใหญ่มาก จึงเห็นว่ากฎเกณฑ์การให้สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควรจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างออกไปจากการทำแร่ประเภทอื่น รัฐบาลในสมัยนั้นจึงวางแผนที่จะออกกฎหมายเกี่ยวกับปิโตรเลียมขึ้นมาใช้โดยเฉพาะ ดังที่ระบุไว้ในหมวด ๑๓ บทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐
ว่าในระหว่างที่ยังมิได้ตรากฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมออกใช้บังคับ ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับเกี่ยวกับปิโตรเลียมไปพลางก่อนโดยอนุโลม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดพื้นที่ อายุ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและการเรียกผลประโยชน์ตอบแทนที่จะให้แก่รัฐในการออกอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและการออกประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียมแตกต่างไปจากเนื้อหาของกฎหมายฉบับนี้เป็นพิเศษได้ ซึ่งหลังจากใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐
อยู่เพียง ๔ ปี
ก็ได้แยกอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันและก๊าซหรือปิโตรเลียมเป็นกฎหมายเฉพาะขึ้นมาต่างหาก คือ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔
หรือกฎหมายปิโตรเลียมนั่นเอง
ซึ่งข้อจำกัดหรืออุปสรรคขัดขวางที่สำคัญที่สุดในตัวบทกฎหมายแร่ที่ยังไม่เพียงพอต่อการเร่งรัดและสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในสมัยนั้นถูกระบุเอาไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา ๑๑๓
ของกฎหมายปิโตรเลียม โดยผู้เขียนได้ทำการขีดเส้นใต้ไว้
ดังนี้
“มาตรา ๑๑๓ ภายในหกเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ผู้ถืออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียม และผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียมตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่ออกให้ตามสัญญาปิโตรเลียมที่ทำไว้ก่อนวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ดำเนินการขอสัมปทานให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรีมีอำนาจให้สัมปทานแก่ผู้ขอสัมปทานตามวรรคหนึ่งโดยสัมปทานนั้นจะมีข้อความเกี่ยวกับสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญาปิโตรเลียม ซึ่งได้กล่าวถึงในวรรคหนึ่ง และสัมปทานนั้นให้นับระยะเวลาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในสัมปทานย้อนหลังไปจนถึงวันออกอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียม และให้อาชญาบัตรผูกขาดสำรวจปิโตรเลียมและประทานบัตรทำเหมืองปิโตรเลียมนั้นสิ้นอายุในวันที่รัฐมนตรีให้สัมปทาน”
ประเด็นตามที่ขีดเส้นใต้ก็คือ
หลักของกฎหมายแร่หรือพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.๒๕๑๐ เปิดโอกาสให้มีการทำสัญญาในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นกิจการปิโตรเลียมได้เช่นกัน แต่ต้องดำเนินการขอสัมปทานสำรวจแร่หรืออาชญาบัตรก่อน ต่อเมื่อพบแร่ที่มีศักยภาพในการลงทุนจึงดำเนินการขอสัมปทานทำเหมืองแร่หรือประทานบัตรเป็นขั้นตอนต่อไป ไม่ใช่ทำสัญญาในลักษณะให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ในคราวเดียวกันเพื่อจูงใจนักลงทุน ซึ่งเป็นการทำสัญญาจับจองพื้นที่แหล่งแร่เอาไว้ก่อนทั้ง
ๆ ที่ยังไม่ได้รับอาชญาบัตรให้สำรวจแร่และประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่แต่อย่างใด แต่สัญญาได้ครอบลงไปแล้วว่ารัฐจะรับประกัน หรือรับผิดชอบ หรืออำนวยความสะดวก หรือเอื้อประโยชน์ต่อผู้ลงทุนให้ถึงที่สุดว่าจะไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดในการดำเนินการขุดเจาะสำรวจ ผลิต และวางท่อขนส่งปิโตรเลียม
แต่สำหรับกิจการปิโตรเลียมเห็นว่ากฎหมายแร่มีข้อจำกัดและเป็นอุปสรรคขัดขวางหากต้องแยกสิทธิในสัมปทานสำรวจแร่ปิโตรเลียมหรืออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ปิโตรเลียม
กับสิทธิในสัมปทานผลิตแร่ปิโตรเลียมหรือประทานบัตรทำเหมืองแร่ปิโตรเลียมออกจากกัน ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๑๓ บทเฉพาะกาลของกฎหมายแร่ จึงสมควรต้องแยกกิจการปิโตรเลียมออกจากกฎหมายแร่ โดยมีกฎหมายเฉพาะขึ้นมา
เพราะหากให้มีการทำสัญญาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมกันก็เกรงว่าการทำสัญญาลักษณะดังกล่าวเป็นการขยายอำนาจในการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจแร่ปิโตรเลียมและทำเหมืองแร่ปิโตรเลียมของเจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไปกว่าขอบเขตที่กฎหมายแร่ได้บัญญัติไว้ ซึ่งไปทำลายหลักขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายแร่กำหนดไว้
เนื่องจาก ‘สัมปทานสำรวจ’ หรืออาชญาบัตร และ ‘สัมปทานทำเหมือง’ หรือประทานบัตร ตามกฎหมายแร่มีลักษณะต่างกรรมต่างวาระ หรือมีลักษณะเป็น ‘ขั้นตอน’ อันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด หมายถึงว่าผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในกิจการเหมืองแร่จะต้องขอและได้สัมปทานสำรวจแร่ก่อน หลังจากที่สำรวจเสร็จและพบแร่มีศักยภาพในการลงทุนจึงดำเนินการขอสัมปทานทำเหมืองแร่ในลำดับขั้นตอนต่อมา
โดยที่กฎหมายปิโตรเลียมซึ่งเป็นกฎหมายสำหรับการเร่งรัด
ส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเลียมโดยเฉพาะเปิดโอกาสให้มีการทำสัญญาสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแบบควบรวมเอาไว้ด้วยกันได้ เพราะต้องการได้ผลประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนด้วยการให้รัฐรับประกัน หรือรับผิดชอบ หรืออำนวยความสะดวก หรือเอื้อประโยชน์ต่อผู้ลงทุนให้ถึงที่สุดว่าจะไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดในการดำเนินการขุดเจาะสำรวจ ผลิต และวางท่อขนส่งปิโตรเลียม อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีปัญหาให้ต้องพิจารณาต่อไปว่าการทำสัญญาสัมปทานลักษณะนี้มีจุดบกพร่องอย่างไรบ้าง
ความเหมือนกันของระบบสัมปทานและระบบแบ่งปันผลผลิตในสาระสำคัญ
ถึงแม้กฎหมายปิโตรเลียมจะมีบทบัญญัติให้สามารถทำสัญญาสัมปทานในลักษณะให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมควบรวมไว้ด้วยกันเพื่อจูงใจการลงทุน ซึ่งระบุเอาไว้ในหลายมาตรา เช่น มาตรา ๒๓, ๒๙, ๓๖, ๓๗, ๓๘, ๓๙, ๔๐, ๓๑, ๔๒ และ ๔๕ ซึ่งดูเหมือนเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้ากว่ากฎหมายแร่ แต่แท้จริงแล้วการทำสัญญาสัมปทานในลักษณะดังกล่าวก็มีปัญหาที่ส่งผลให้เกิดผลกระทบขึ้นต่อประชาชนในพื้นที่ขุดเจาะสำรวจ ผลิต วางท่อขนส่งปิโตรเลียม หรืออาจรวมถึงการมีโรงแยกก๊าซด้วย มากทีเดียว ดังนี้
๑. สัมปทานให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตามกฎหมายปิโตรเลียมไม่เพียงให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเท่านั้น
แต่ให้สิทธิครอบคลุมถึงกิจการปิโตรเลียมทั้งหมด ตั้งแต่การสำรวจ ผลิต
เก็บรักษา ขนส่ง ขาย
หรือจำหน่ายปิโตรเลียม โดยเฉพาะการวางท่อขนส่งปิโตรเลียมและก่อสร้างโรงแยกก๊าซหลังจากยื่นแผนการผลิตในรายละเอียดสำหรับพื้นที่การผลิตแล้วก็ได้รับการคุ้มครองตามข้อกำหนดในสัมปทาน ดังมาตรา ๕๔, ๕๕ และ ๖๘[1] ที่ข้อกำหนดในสัมปทานจะต้องคุ้มครองการเก็บรักษาและขนส่งปิโตรเลียม ซึ่งหมายความถึงการก่อสร้างวางแนวท่อขนส่ง และรวมถึงโรงแยกก๊าซด้วยที่สามารถบังคับใช้กฎหมายเวนคืนที่ดินตามแนวท่อและสถานที่ตั้งโรงแยกก๊าซด้วย
๒. สัมปทานในลักษณะดังกล่าวยังให้สิทธิแก่ผู้รับสัมปทานให้สามารถครอบครองสารพลอยได้ ที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านอื่น
ๆ ที่มากไปกว่าปิโตรเลียม[3] หรือน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติชนิดต่าง
ๆ ตามความเข้าใจของประชาชนทั่วไปด้วย
๓. ในมาตรา ๔๒ ทวิ วรรคสาม[4] ของกฎหมายปิโตรเลียม เปิดโอกาสให้ผู้รับสัมปทานดำเนินการผลิตปิโตรเลียม ซึ่งท่อขนส่งรวมอยู่ในส่วนของการผลิตด้วย ต่ำกว่าหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม-อีไอเอ หรือ EIA ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมได้ เพราะผู้รับสัมปทานสามารถเปลี่ยนแปลงแผนการผลิตปิโตรเลียมได้โดยอนุมัติจากอธิบดีเป็นหลัก ไม่ต้องนำเสนอแผนการผลิตปิโตรเลียมที่เปลี่ยนแปลงให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน
EIA ด้านโครงการพัฒนาพลังงานหรือปิโตรเลียม หรือ คชก. ให้ความเห็นชอบแต่อย่างใด
๔. มิเพียงเท่านั้น
ด้วยรูปแบบสัมปทานในลักษณะดังกล่าวที่รัฐจะต้องคุ้มครองและเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับสัมปทาน
ในกรณีพื้นที่สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกที่นามูล-ดูนสาด ซึ่งเป็นเขตรอยต่อของ อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ กับ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น ที่ประชาชนในนามกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาดต่อต้านการขนอุปกรณ์และเครื่องจักรสำหรับหลุมขุดเจาะสำรวจที่บริษัท อพิโก้
(โคราช) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทาน เมื่อดูแผนการผลิตแปลงสัมปทาน L27/43 ในภาพรวมทั้งหมด (ซึ่งหลุมขุดเจาะสำรวจดงมูล 5 หรือ DM5 ที่บ้านนามูล-ดูนสาดเป็นหลุมหนึ่งของแปลงสัมปทาน L27/43) อาจเป็นไปได้ว่าจะมีการจัดทำรายงาน
EIA แท่นผลิตและการวางแนวท่อขนส่งปิโตรเลียมและโรงแยกก๊าซรวมเป็นฉบับเดียวกัน โดยเลี่ยงบาลีว่าเป็นโรงแยกสถานะ ไม่ใช่โรงแยกก๊าซ ซึ่งตามหลักของกฎหมายสิ่งแวดล้อมนั้นต้องจัดทำรายงาน
EIA แยกส่วนกัน เช่น ในขั้นตอนสำรวจก็ต้องจัดทำรายงาน
EIA การขุดเจาะหลุมสำรวจฉบับหนึ่ง ต่อเมื่อสำรวจพบปิโตรเลียมมีศักยภาพในการลงทุนก็ต้องจัดทำรายงาน
EIA แท่นผลิตและท่อขนส่งอีกฉบับหนึ่ง ต่อจากนั้นหากปิโตรเลียมที่ผลิตได้มีหลายชนิดและมีความประสงค์จะแยกก๊าซชนิดต่าง
ๆ เพื่อจำหน่ายก็ต้องจัดทำรายงาน EIA โรงแยกก๊าซขึ้นอีกฉบับหนึ่งด้วย
ดังนั้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าสัมปทานลักษณะควบรวมสิทธิในการสำรวจและผลิตไว้ด้วยกันตามกฎหมายปิโตรเลียมนั้นเป็นการให้สิทธินักลงทุนหรือผู้รับสัมปทานมากเกินความจำเป็น โดยที่รัฐ-ราชการได้ปฏิบัติหน้าที่โดยเอาประชาชนไปเป็นหลักประกันผูกพันกับผลประโยชน์ของนักลงทุนเอกชนมากเกินควร
ภาพ : ไทยรัฐออนไลน์
No comments:
Post a Comment