อะไรอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม ตอนที่ ๑
(เลิศศักดิ์
คำคงศักดิ์)
ขบวนการประชาชนที่่ต่อสู้คัดค้านเพื่อขอให้รัฐยกเลิกการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่
๒๑
แก่ผู้สนใจลงทุนภาคเอกชนกำลังอยู่ในกระแสสูง เป็นที่จับตามองของสังคมอย่างใกล้ชิด จากการยอมอ่อนข้อของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ที่มีคำสั่งยกเลิกชั่วคราวต่อการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ ๒๑
ประมาณสามเดือนนับจากปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยให้ดำเนินการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียม
หรือพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔
ให้แล้วเสร็จเสียก่อน นั้น
ดูเหมือนว่าเหตุผลที่ขบวนการประชาชนหลากหลายกลุ่มก้อนยกขึ้นมาอ้างต่อการเรียกร้องให้รัฐยกเลิกการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่
๒๑ มีเพียงข้อเดียว นั่นคือ
ระบบสัมปทานที่ระบุไว้ในกฎหมายปิโตรเลียมเป็นระบบที่รัฐได้ค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์น้อยมาก
ไม่คุ้มค่ากับทรัพยากรปิโตรเลียมที่สูญเสียไป
ต่างจากระบบแบ่งปันผลผลิตในหลายประเทศเพื่อนบ้านที่ให้ผลประโยชน์สูงกว่ามาก
จึงเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมโดยเปลี่ยนจากระบบสัมปทานให้เป็นระบบแบ่งปันผลผลิตเสียก่อน
แล้วจึงค่อยดำเนินการประกาศเปิดพื้นที่ให้ผู้สนใจลงทุนภาคเอกชนยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมครั้งใหม่
ด้วยเหตุนี้ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีของสังคมไทยที่จะได้สำรวจลึกเข้าไปในกฎหมายปิโตรเลียมว่าแท้จริงแล้วนอกจากบทบัญญัติที่เกี่ยวกับระบบสัมปทาน
ซึ่งเป็นปัญหาถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างในการเรียกร้องคัดค้านให้ยกเลิกการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่
๒๑ แล้ว
ยังมีบทบัญญัติมาตราใดอีกที่เป็นปัญหาซ่อนอยู่ และไม่ได้ถูกกล่าวถึงในการเรียกร้องคัดค้านดังกล่าว
และหากจะต้องแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมตามบัญชาของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.
ภายในสามเดือนนับแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ นี้
ก็ต้องแก้ไขในประเด็นเหล่านี้ด้วย
มิเช่นนั้น การแก้ไขเพียงแค่ประเด็นเดียว คือ
การเปลี่ยนแปลงระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต
มิอาจเป็นหลักประกันได้ว่าประชาชนจะได้รับความเป็นธรรมจากนโยบายการพัฒนาแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งในบนบกและในทะเล
ความแตกต่างของปิโตรเลียมบนบกและในทะเล
พัฒนาการของขบวนการประชาชนที่ต่อสู้คัดค้านนโยบายและโครงการด้านพลังงาน
จนสามารถสร้างกระแสสูงในสังคมไทยด้วยการชูประเด็นที่สร้างแนวร่วมกับภาคส่วนต่าง
ๆ ของสังคมได้มากที่สุด
นั่นคือประเด็นการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมด้วยการเปลี่ยนแปลงจากระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต
นั้น
มีทั้งความก้าวหน้าที่น่าชื่นชมและมีทั้งความล้าหลังที่น่าวิตกกังวล
ความก้าวหน้าที่น่าชื่นชมก็คือฝ่ายนำของขบวนการประชาชนสามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับชนชั้นกลางและชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้เป็นอย่างดี จึงเห็นการเคลื่อนไหวต่อสู้คัดค้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่
๒๑ มีแนวร่วมจากชนชั้นเหล่านั้นจำนวนมากพอสมควรเข้าร่วมหรือสนับสนุนขบวนการประชาชนคนเล็กคนน้อยในสังคมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายและโครงการพัฒนาด้านพลังงาน
ที่น่าสนใจก็คือแนวร่วมจากชนชั้นเหล่านั้นที่ออกมาขับเคลื่อนต่อสู้คัดค้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่
๒๑ เป็นมวลชนที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนรัฐประหารทั้งสองครั้งที่ผ่านมา
ในส่วนที่น่าวิตกกังวลก็คือมุมกลับของแนวร่วมดังกล่าว
เพราะพวกเขาเหล่านั้นให้ความสำคัญเพียงแค่เรื่องเดียว นั่นคือ
ขอให้มีการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมเพียงเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตเท่านั้นพอ เพราะมีจินตภาพในภาพรวมว่า
ถ้ารัฐได้ผลประโยชน์สูงขึ้นจากระบบแบ่งปันผลผลิต
ที่ต้องสูญเสียทรัพยากรปิโตรเลียมซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทที่ใช้แล้วหมดไป
ก็จะเจือจานผลประโยชน์เหล่านั้นตกถึงมือประชาชนคนเล็กคนน้อยที่ได้รับผลกระทบไปเองโดยปริยาย อีกทั้งยังมองโลกในแง่ดีแบบขาดความเชื่อมโยงในข้อเท็จจริงว่าผลข้างเคียงจากการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลให้ประชาชนไทยได้ใช้น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และค่าไฟฟ้า กับการเดินทางในชีวิตประจำวันและการบริโภคในครัวเรือนในราคาที่ถูกลง โดยไม่สนใจในความไม่เป็นธรรมอื่นใดอีกที่ยังแฝงเร้นอยู่ในกฎหมายปิโตรเลียม
ข้อวิตกกังวลนี้เอง
หากฝ่ายนำของขบวนการประชาชนสร้างความร่วมมือกับแนวร่วมของชนชั้นเหล่านั้นด้วยการถูกชี้นำหรือตกอยู่ในภาวะจำยอม หรือหวังพึ่งพาหรือปัดความรับผิดชอบเพราะขี้เกียจทำงานมวลชน
หรือเห็นว่าแนวร่วมเหล่านั้นคือช่องทางลัดในการผลักดันประเด็น/เนื้องานที่ตนเองรับผิดชอบ
ก็อาจทำให้ขบวนการประชาชนถอยหลังลงคลองกลายเป็นพวก ‘ชาตินิยมพลังงาน’
ได้ ก็เพราะว่าแนวร่วมจากชนชั้นเหล่านั้นเรียกร้องให้รัฐเข้ามาเป็นฝ่ายบริหารจัดการ กำกับ ควบคุมและดูแลผลประโยชน์ที่จะได้รับสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตแต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นหลัก ทั้งในส่วนที่เป็นรัฐส่วนกลาง
ภูมิภาคและท้องถิ่น ซึ่งเป็นคนละส่วนกับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายและโครงการพัฒนาปิโตรเลียมที่ถูกกันออกจากความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่จะได้รับสูงขึ้นดังกล่าว
อารัมภบทสามย่อหน้าในหัวข้อนี้ต้องการชี้ชวนให้เห็นว่าแนวคิดการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมโดยมุ่งตรงไปที่การเปลี่ยนจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตนั้น มีต้นเหตุสองประการ ประการแรกมาจากการมองปัญหาไปที่ขบวนการประชาชนที่ต่อสู้คัดค้านนโยบายและโครงการพัฒนาด้านพลังงานที่เปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมในทะเลเป็นส่วนใหญ่
เพราะเห็นว่าพลังการต่อสู้คัดค้านในบริบทของชุมชนท้องถิ่นยากที่จะต่อกรกับอำนาจรัฐและทุนข้ามชาติที่สามารถเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทะเลแสนไกลจากชายฝั่งที่ไร้บริบทของชุมชนท้องถิ่นเข้าไปปะทะเกี่ยวข้อง
ต่อเมื่อวางท่อขนส่งในส่วนที่เหลือขึ้นฝั่งใกล้หรืออยู่ภายในอาณาเขตของชุมชนท้องถิ่นในภายหลัง
ซึ่งก็ไม่สามารถรับมือกับแรงบีบคั้นของรัฐและทุนที่รุกเข้ามาด้วยการจ่อปลายท่อขึ้นฝั่งไว้แล้่ว
ที่พร้อมปะทะกับประชาชนในชุมชนท้องถิ่นแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เนื่องเพราะความจำเป็นของโครงการที่ลงทุนสำรวจและผลิตและก่อสร้างท่อขนส่งปิโตรเลียมไว้แล้วเป็นเม็ดเงินมหาศาลไม่อาจยกเลิกได้
ด้วยเหตุนี้เอง ภาวะที่รัฐและทุนมีอำนาจและอิทธิพลใหญ่มาก
จึงเห็นว่าถ้าผลักดันให้แก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมด้วยการเปลี่ยนระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต จะทำให้รัฐได้ผลประโยชน์สูงขึ้น แล้วภาระในการรับผิดชอบของรัฐต่อประชาชน
ระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมที่สูญเสียหรือถูกทำลายจากการให้สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจะมากขึ้นตามไปด้วย
ประการที่สอง
เป็นการพัฒนาความคิดต่อยอดมาจากขบวนการประชาชนที่ต่อสู้คัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในกิจการพลังงานและกิจการอื่น
เช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นต้น
ที่มองเห็นว่าหน่วยงานทั้งสอง
คือ ปตท. และ กฟผ.
เอาเปรียบประชาชนที่เป็นผู้จ่ายภาษีให้กับรัฐเพื่อการพัฒนาประเทศและประชาชนให้อยู่ดีมีสุข
แต่หน่วยงานทั้งสองกลับคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำให้ต้องใช้น้ำมัน
ก๊าซธรรมชาติและค่าไฟฟ้าในชีวิตประจำวันในราคาแพง รวมทั้งยังนำความผิดพลาดในการบริหารจัดการและพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้ามาคิดเป็นค่าเอฟที
(Ft - Fuel Tax) ใส่ลงไปในใบเรียกเก็บเงินค่าใช้ไฟฟ้าประจำเดือนแก่ประชาชนหรือผู้บริโภคระดับครัวเรือนอีกด้วย จึงเห็นว่าหากผลักดันให้เกิดการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมและกฎหมายภาษีเงินไดhปิโตรเลียม (พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
พ.ศ. ๒๕๑๔) โดยเฉพาะในประเด็นของระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต จะส่งผลให้ประชาชนไทยได้ใช้น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและค่าไฟฟ้าในชีวิตประจำวันในราคาที่ถูกลง
แต่แนวคิดเช่นนี้
แค่การแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมและกฎหมายภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะเพียงแค่การเปลี่ยนจากระบบสัมปทานไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตนั้น
ใช้กับพื้นที่เปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมบนบกไม่ได้
เนื่องเพราะว่าทุกแปลงสำรวจและพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม รวมทั้งแนววางท่อขนส่งจากปากหลุมขุดเจาะ
ล้วนมีประชาชนในชุมชนท้องถิ่นอาศัยอยู่แทบทั้งสิ้น
หลุมเจาะสำรวจและผลิตและท่อขนส่ง ไม่ได้ตั้งอยู่ไกลเป็นร้อยไมล์ทะเลจากชายฝั่งที่ไม่มีชุมชนท้องถิ่นอาศัยอยู่แต่อย่างใด ดังนั้น
แนวคิดของประชาชนในชุมชนท้องถิ่นในเขตพื้นที่เปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมบนบกจึงต่างจากในทะเล
เพราะมันปะทะเกี่ยวข้องกับรัฐและทุนตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มขุดเจาะหลุมสำรวจในที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของหรือมีสิทธิครอบครอง
ต่างจากการขุดเจาะสำรวจในที่รกร้างว่างเปล่าเช่นทะเลที่ไกลออกไปจากชายฝั่งไร้ผู้คน
จึงทำให้แรงบีบคั้นในชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนระหว่างพื้นที่เปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมบนบกและในทะเลแตกต่างกัน เพราะเจตน์จำนงมันก้องกังวานว่า
นอกจากระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมที่ต้องระมัดระวังเช่นเดียวกับสัมปทานปิโตรเลียมในทะเลแล้ว
หลุมขุดเจาะสำรวจและผลิตและท่อขนส่งปิโตรเลียมต้องไม่ละเมิดชีวิตและทรัพย์สิน
รวมทั้งที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันและที่ดินส่วนบุคคลที่มีเจ้าของหรือมีสิทธิครอบครองด้วย
ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติตามมาตรา
๖๗ ของกฎหมายปิโตรเลียมที่ระบุไว้ดังนี้
“มาตรา ๖๗ ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานมีความจําเป็นต้องเข้าไปในที่ดินที่บุคคลใดเป็นเจ้าของหรือมีสิทธิ
ครอบครองเพ่ือสํารวจปิโตรเลียม ให้ขออนุญาตเจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินน้ันก่อน
ถ้าเจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองท่ีดินตามวรรคหนึ่งไม่อนุญาต
และพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่ามีความ จําเป็นต้องเข้าไปสํารวจปิโตรเลียมในท่ีดินนั้นและการไม่อนุญาตน้ันไม่มีเหตุอันสมควรเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่
แจ้งให้เจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินนั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันว่าจะเข้าไปสํารวจปิโตรเลียมในท่ี
ดินนั้นแล้ว ให้ผู้รับสัมปทานเข้าไปสํารวจปิโตรเลียมในที่ดินนั้นในความควบคุมดูแลของพนักงานเจ้าหน้าที่ได้
ถ้าการเข้าไปในท่ีดินตามวรรคสองเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิ
อื่นใดในที่ดินน้ันมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากผู้รับสัมปทาน
และถ้าไม่สามารถตกลงกันถึงจํานวนค่าเสียหายได้ ให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
โดยนํำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ”
ในวรรคแรกดูเหมือนจะดีที่ต้องอนุญาตเจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินก่อน แต่วรรคสองและวรรคสามกลับให้รัฐและผู้รับสัมปทานสามารถเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่นโดยบังคับได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมแต่อย่างใด การปกป้องอธิิปไตยบนผืนดินของตัวเองมีได้แค่เพียงการถูกบังคับให้ต้องยอมรับค่าเสียหายสถานเดียว
และถ้าหากย้อนกลับไปดูมาตรา
๖๕[๑] ประกอบด้วย จะเห็นลักษณะสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของนักลงทุนซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะว่ารัฐสามารถให้ผู้รับสัมปทานถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้มากกว่าที่พึงจะมีได้ตามกฎหมายอื่น
ไม่เพียงเท่านั้น ในมาตรา ๖๘[๒] ยังกำกับรัฐให้อำนวยความสะดวกและเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับสัมปทานอย่างถึงที่สุดด้วยการบังคับใช้กฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์หากผู้รับสัมปทานมีความต้องการได้มาซึ่งที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อใช้ในการขุดเจาะสำรวจ ผลิตและวางท่อขนส่งปิโตรเลียม
ข้อเสนอสำหรับหัวข้อนี้ก็คือ
นอกจากการกำหนดเขตพื้นที่แปลงสำรวจปิโตรเลียมบนบกและในทะเลแตกต่างกันตามมาตรา
๒๘[๓] และกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอสัมปทานตามมาตรา
๒๔[๔] เอาไว้แล้ว ยังต้องแก้ไขในมาตรา ๒๓[๕] มาตรา ๖๕ มาตรา ๖๗ และมาตรา ๖๘ ให้เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน เพื่อให้งานทางด้านเทคนิควิชาการที่ระบุไว้ในมาตรา
๒๓ แยกการเปิดพื้นที่ให้เอกชนสำรวจ ผลิตและวางท่อขนส่งปิโตรเลียมระหว่างบนบกและในทะเลให้มีหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขแตกต่างกัน และต้องวางหลักการให้สอดคล้องกันโดยต้องไม่ไปละเมิดกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองที่ดินของบุคคล และรวมทั้งที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยเด็ดขาดด้วย
ภาพประกอบ : เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์
ภาพประกอบ : เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์
No comments:
Post a Comment