ขีดจำกัดทางนิเวศและความเป็นธรรมในการเข้าถึงฐานทรัพยากร
โลกของความเห็นต่างที่ไม่เคยถูกเคารพ
สันติภาพ
ศิริวัฒนไพบูลย์
กลุ่มศึกษาสังคมนิยมธรรมชาติ
Developments in the World is just for
Economic Growth หรือ
การพัฒนาในโลกล้วนเป็นไปเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลย และผลพวงจากการพัฒนานั้นกลับทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำบนโลกมากขึ้น
แถมยังต้องแลกมาด้วยการล้างผลาญทรัพยากรและหายนะของระบบนิเวศโลกอีก
เศรษฐีโลกเพียง
1% เป็นเจ้าของทรัพย์สินถึง 40% บนโลก ขณะที่คนอีก 50% ในระดับฐานล่างกลับถือครองทรัพย์สินรวมกันเพียง 1% เท่านั้น
ทุกปีเศรษฐกิจโดยรวมของโลกเติบโตขึ้น มูลค่าทางเศรษฐกิจที่หมุนเวียนในระบบโลกล้วนเพิ่มมากขึ้น
แต่เงิน รายได้ สินทรัพย์เหล่านั้นตกไปอยู่ที่ใคร ช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมกลับถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ
นั่นย่อมชี้ให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาโลกที่ล้มเหลว
โลกเป็นระบบนิเวศเดียว
(Global
Ecosystem) ผลกระทบต่างๆ จากการบริโภค การทิ้งของเสีย
การทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่คนทั้งโลกเผชิญร่วมกัน เช่น
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นทุกปี อุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้น
การขาดแคลนอาหาร การขยายตัวของทะเลทราย ขยะสารพิษและสารเคมีที่ไหลลงสู่มหาสมุทร
การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ฯลฯ
นี่คือปัญหาของคนทั้งโลกที่มีรากฐานมาจากความเหลื่อมล้ำและการกระจายการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม
คนที่รวยมากอาจจะรวยกว่ารายได้ประชาชาติของหลายๆ ประเทศรวมกัน ขณะที่คนจนส่วนใหญ่นับพันล้านคนบนโลกยอมทำทุกอย่างเพื่อปากท้อง
บริษัทที่มีรายได้มากที่สุดของโลกในปี
2013 (2556) อันดับที่ 1
คือ “Exxon Mobil” บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติและน้ำมันปิโตรเลียม
ปัจจุบัน Exxon Mobil ครองแชมป์บริษัทร่ำรวยที่สุดด้วยรายได้กว่า
502,300 ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับที่ 2 “Shell” บริษัทยักษ์ใหญ่ลูกผสมระหว่างดัตช์และอังกฤษที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานเช่นกัน
Shell มีรายได้อยู่ที่ 492,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของไทยในปี 2553
ซึ่งอยู่ที่ 474,686 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ Shell มีรายได้มากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศลาวถึง 70 เท่า (ในปี
2553 ลาวมี GDP
ประมาณ 6,946 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ในระดับภูมิภาค ผลกระทบจากการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้ทุนนิยมโลกด้วยโครงการขนาดใหญ่
ได้กลายเป็นปมปัญหาข้ามพรมแดนและสร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศ
การตัดสินใจอนุมัติสร้างเขื่อนสาละวินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าส่งขายให้จีนของรัฐบาลพม่าในเขตที่ตั้งกองกำลังไทใหญ่
อาจจะทำให้คนไทใหญ่หลายหมื่นคนต้องอพยพจากน้ำท่วมหมู่บ้าน
ผู้คนเหล่านี้จะมีชะตาชีวิตเช่นไร เขาจะอพยพไปไหน หรือต้องจับปืนขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง
ในประเทศไทยเองก็เป็นผู้ผลักดันสำคัญให้เกิดการสร้างเขื่อนไซยะบุรีกั้นแม่น้ำโขง
ทั้งการให้เงินกู้นับแสนล้านบาทโดยธนาคารของไทย
ดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัทเอกชนของไทย
จัดตั้งบริษัทในลาวโดยผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทย เพื่อขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของประเทศไทย
และในอีก 20 ปีข้างหน้า คาดว่าประเทศไทยจะใช้ไฟฟ้ามากถึง 50,000 เมกกะวัตต์
(ปัจจุบันเราใช้ไฟฟ้าอยู่ประมาณ 25,000 เมกกะวัตต์)
นั่นเท่ากับว่าอัตราการใช้ไฟฟ้าของไทยจะเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวภายใน 20 ปี
จากที่เคยมีไฟฟ้าใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2427 หรือเมื่อ 130 ปีที่แล้ว
ปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า อาจจะเท่ากับการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนภูมิพลถึง
34 เขื่อน (เขื่อนภูมิพลผลิตไฟฟ้าได้ 737.5 เมกะวัตต์)
ทั้งหมดก็เพื่อการบริโภค การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนา เท่านั้นหรือ?
เขื่อนดอนสะฮง ไซยบุรี
คอนพะเพ็ง และอีกหลายๆ เขื่อนที่กำลังจะเกิดขึ้นในแม่น้ำโขง จะส่งผลกระทบต่อการทำมาหากินในน้ำโขงและแม่น้ำสาขาของผู้คนกว่า
60 ล้านคน ในลุ่มน้ำโขง เพื่อแลกกับกระแสไฟฟ้าที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ ขณะที่ระบบนิเวศแม่น้ำโขงซึ่งได้รับการยกย่องว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดเป็นอันดับ
2 ของโลก รองลงมาจากแม่น้ำอาเมซอน กำลังจะถูกทำลายจากการพัฒนา
นั่นคือฐานทรัพยากรของคนระดับฐานล่างหลายล้านคนที่พึ่งพาสิ่งที่ธรรมชาติให้มา หรือการบริการของระบบนิเวศ
(Ecosystem
service)
โลกนี้กำลังพัฒนาไปสู่หนใด ความเห็นต่างของคนมากมายบนโลกที่เรียกร้องให้รัฐบาลแทบทุกประเทศ
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศร่ำรวย เห็นความสำคัญกับการแก้ปัญหาสังคม ความเหลื่อมล้ำและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของโลก
แต่ก็ไม่เคยถูกเคารพจากการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกเลย
กิจการยักษ์ใหญ่เช่นเหมืองแร่และปิโตรเลียม
ยังเป็นผู้สนับสนุนและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายการพัฒนาของทุกรัฐบาลในโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจและคงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต
ความเห็นต่างทางการเมืองของประเทศไทยจึงเป็นเรื่องไร้สาระในแง่มุมด้านนิเวศวิทยา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงประเทศจากการรัฐประหารล่าสุดก็อาจจะไม่แตกต่างกัน
หากไม่ให้ความสำคัญและพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ สิทธิชุมชนและสิทธิของธรรมชาติอย่างจริงจัง
ที่ดิน ผืนน้ำ ผืนป่า ระบบนิเวศ
ยังถูกช่วงชิงไปจากชุมชนและธรรมชาติเพื่อตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจ
ดูเหมือนเศรษฐกิจจะจำเป็นเสมอในทุกสถานการณ์
ไม่ว่าสังคมการเมืองการปกครองจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างยังต้องหลีกทางให้เศรษฐกิจ
กรณีท่อส่งน้ำมันจากเรือขนส่งน้ำมันดิบรั่วลงสู่ทะเลที่เกาะเสม็ดเมื่อต้นปีที่แล้ว
จนป่านนี้ชาวประมงยังหาปลาไม่ได้ ทะเลที่นั่นปลายังไม่กลับมาให้จับ การดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด
การประเมินความเสียหายต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และความเสียหายจากการละเมิดที่ต้องรีบทำให้เสร็จเพื่อส่งฟ้องผู้ก่อเหตุก็เหลืออายุความอีกเพียงแค่ 1 เดือน การเยียวยาชาวบ้านก็มีเพียงการจ่ายเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้ารายละ 3
หมื่นบาท และห้ามเรียกร้องเพิ่มเติมอีกโดยบังคับให้ชาวบ้านเซ็นยินยอม จังหวัดเป็นธุระจัดการเรื่องนี้แทนบริษัท
แผนการฟื้นฟูที่หน่วยงานรัฐเสนอมีอยู่ 3 เรื่อง คือ ปลูกปะการัง
ทำปะการังเทียมและทำทุ่นผูกเรือ ใช้เงินเพียง 51 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับสาระสำคัญคือการจัดการบำบัดน้ำมันในทะเลแต่อย่างใดเลย
งานนี้มีกรรมการหลายชุดจากหลายหน่วยงานราชการ เช่น กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมควบคุมมลพิษ
กรมทรัพยากรชายฝั่ง และสำนักงานจังหวัด แต่แทบไม่มีอะไรคืบหน้า ยังไม่มีการฟ้องร้องอะไรกับผู้ก่อเหตุที่เป็นเอกชนเลย
ทั้งที่เอกชนรายนี้เป็นบรรษัทมหาชนยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์
เป็นผู้ผูกขาดกิจการด้านพลังงานหลักของประเทศ มีผลกำไรนับแสนล้านบาท มีบริษัทในเครือนับร้อย
ความรับผิดชอบดูเหมือนจะมีเพียงการโฆษณาเชิญชวนให้คนมาเที่ยวเกาะเสม็ด
ชายหาดสะอาดแล้ว เล่นน้ำทะเลได้ กระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ปัญหาไม่ได้เกิดเฉพาะแต่บริเวณที่น้ำมันรั่วและคราบน้ำมันบนหาดเท่านั้น
คราบน้ำมันที่แพร่กระจายกินบริเวณกว้างกว่าที่เป็นข่าว รวมทั้งที่จมลงสู่ก้นทะเล
ทำให้ชาวประมงและกิจการต่อเนื่องหลายพันครอบครัวได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกหลายปีและการทำความสะอาดใต้ท้องทะเลก็ไม่ควรปล่อยให้เป็นภาระของธรรมชาติในการบำบัดตัวเอง
เพราะยังมีเทคโนโลยีและวิทยาการฟื้นฟูที่สามารถนำมาใช้ได้ แต่ต้องจ่ายและอาจจะต้องจ่ายแพง
แต่ก็เป็นไปตามหลักสากล คือ ผู้ก่อมลภาวะเป็นผู้จ่าย (Polluters Pay
Principle: PPP) นี่คือความรับผิดชอบและธรรมาภิบาลของบรรษัทที่ต้องแสดงให้สังคมได้เห็น
ถึงแม้ว่าประโยชน์อันเกิดต่อเศรษฐกิจโดยรวมของชาติจากบริษัทอาจจะมากมายมหาศาล
แต่การเข้าถึงประโยชน์นั้นของประชาชนที่ต้องใช้น้ำมันในราคาแพงยังเป็นคำถามใหญ่
ยิ่งเมื่อวิเคราะห์ถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและต่อระบบนิเวศสำหรับกิจการสาธารณะของรัฐที่เพิ่งจะแปรรูปไปเมื่อประมาณ
10 ปีที่แล้ว ยิ่งทำให้เห็นว่า “ผลกำไรของบริษัทและผู้ถือหุ้นสำคัญที่สุด”
จังหวัดระยองอาจจะสร้างรายได้ให้กับประเทศมากกว่าจังหวัดใดๆ
เพราะมีอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซ และอุตสาหกรรมเคมีจากผลพลอยได้ดังกล่าว
แต่คุณภาพชีวิตของคนระยองกลับต่ำกว่ามาตรฐาน คนพื้นเพเดิมอาจจะอพยพไปอยู่ที่อื่น
คนงานจากทั่วประเทศมาใช้ชีวิตและทำงานที่นี่
ยอมเสี่ยงที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ย่ำแย่เพื่อแลกกับรายได้เลี้ยงครอบครัว
นั่นยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า ความมั่งคั่งร่ำรวยได้ผ่องถ่ายไปสู่เจ้าของกิจการไม่กี่คนซึ่งใช่ชีวิตอย่างสบายอยู่ที่อื่น
อันที่จริงก็คือคน 1%
ที่ได้เคยกล่าวไว้
ความเห็นต่างและเสียงของประชาชนมากมายในประเทศนี้ยังเป็นเพียงเสียงเล็กๆ
และไม่เคยถูกเคารพ เสียงของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ โครงการเขื่อน
การจัดการน้ำขนาดใหญ่ การถูกไล่รื้อออกจากที่ดิน
ล้วนถูกปล่อยปละละเลยมานานหลายสิบปี
เสียงเหล่านี้อันที่จริงคือเสียงที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและระบบนิเวศมากที่สุด
ชาวบ้านจากปากมูน ราศีไศล ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนมา 20 ปี
เขาเรียกร้องแทนชุมชน ธรรมชาติ ระบบนิเวศ และฝูงปลาที่เคยแหวกว่ายอย่างอิสระ
ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วเกือบ 20 รัฐบาล ผ่านรัฐประหารมาหลายครั้ง
แต่เขื่อนก็ยังตั้งตระหง่านขวางแม่น้ำมูนอยู่ ทั้งๆ
ที่ข้อมูลจากทุกสำนักวิชาการต่างบอกว่าโครงการนี้ไม่คุ้มค่าและส่งผลกระทบในทุกๆ
ด้าน โดยเฉพาะนิเวศวิทยาและเศรษฐกิจสังคมท้องถิ่น
ต้องใช้เงินอีกมากมายเพียงใดในการทำความสะอาดลำห้วยคลิตี้ที่มีตะกั่วนับหมื่นๆ
ตันจมอยู่ใต้ลำห้วย ขณะที่ชาวบ้านไม่มีทางเลือกและต้องใช้น้ำจากลำห้วยนั้น
บนภูเขาใกล้หมู่บ้านนาหนองบง
อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีบ่อเก็บกากแร่ซึ่งปนเปื้อนด้วยไซยาไนด์ แคดเมียม
สารหนู แมงกานีส นับล้านลูกบาศก์เมตร
ซึ่งรอคำตอบจากเหมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะจัดการกับมันอย่างไร
เพราะที่ผ่านมาสร้างปัญหามาโดยตลอดทั้งบ่อเก็บกากแร่พัง โลหะหนักปนเปื้อนน้ำผิวดิน
ใต้ดิน ชาวบ้านเจ็บป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีไซยาไนด์ในเลือดเกินมาตรฐาน
ข้าวปลาอาหารตามธรรมชาติกินไม่ได้ แต่ประทานบัตรก็ยังไม่ถูกระงับ
ล่าสุดมีการนำกองกำลังติดอาวุธนอกกฎหมายหลายร้อยมารุมทำร้ายชาวบ้านที่ไม่ยอมให้รถขนแร่ผ่านชุมชนจนบาดเจ็บหลายสิบคน
เราไม่สามารถพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัดได้ เพราะระบบนิเวศ
ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมีขีดจำกัด
ภาระที่ธรรมชาติจะฟื้นฟูและบำบัดตนเองนั้นเป็นเรื่องยากในสถานการณ์ปัจจุบัน
เพราะสิ่งแปลกปลอมที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นนั้นมีรูปแบบและความพิเศษที่หลากหลายเกินกว่าพลังธรรมชาติจะจัดการได้ในเวลาอันสั้น
มันจึงวนเวียนอยู่ในระบบนิเวศจากแหล่งกำเนิดหนึ่งไปสู่อากาศ สู่ดิน น้ำ อาหาร
และมนุษย์ มันอาจจะวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายชั่วคน และสารเหล่านี้ก็ไปสร้างความผิดปกติ
และความเจ็บป่วยกับทุกชีวิตที่อยู่ในเส้นทางของมัน
โลกของการแบ่งปันจะไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยการเอาตัวเลขรายได้รวมของประเทศหารด้วยจำนวนประชากรเพื่อเอาไว้โชว์ตัวเลขรายได้เฉลี่ยสวยๆ
เพราะรายได้อันเป็นเงินหรือสินทรัพย์จริงๆ ไม่ได้ถูกแบ่งมาด้วย
คนที่มีเงินอยู่แสนล้านจากการปล้นทรัพยากรในนามการพัฒนาไปจากคนหลายล้านก็ยังมีเงินนั้นอยู่ในธนาคาร
แต่คนที่ยังออกเรือหาปลาและจับปลาไม่ได้ก็ยังต้องอดมื้อกินมื้ออยู่ต่อไป
การเมืองและเกมแห่งอำนาจนั้นโหดร้ายเสมอในระบอบทุนนิยมโลก
ไม่ว่าชนชั้นปกครองจะได้อำนาจมาด้วยวิถีทางใด แต่เมื่อยังอยู่ในวังวนของนโยบายการพัฒนาแบบเดิม
ฟังข้อมูลและเสียงของพ่อค้า นายทุน ข้าราชการอยู่เช่นเดิม ก็ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความเป็นธรรมได้..
World’s Top
10 Richest Companies for the Year 2013. http://thumbsup.in.th/2013/10/worlds-top-10-richest-companies-of-the-year-2013-infographic/
รายชื่อประเทศเรียงตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(ราคาตลาด). http://th.wikipedia.org