About Us

My photo
1518 Soi Jaransaniwong 75 Junction 32, Bangphlad, Bangphlad,, Bangkok 10700, Thailand
The Community Resources Centre Foundation (CRC) is a non-governmental organisation which is committed to protect and promote the Human Rights, Community Right and the Environment. CRC is a watchdog on the implementation of ICCPR and ICESCR. มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (ศขช.) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร ตั้งขึ้นมาเพื่อทำงานในการปกป้องและส่งเสริม สิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และสิ่งแวดล้อม ศขช.เฝ้าระวังสถานการณ์ ตามกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และกติกาสากลว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

Friday, August 21, 2015

นักผังเมืองชี้ ผังเมืองรวมเอื้อนายทุน ส่อมีปัญหาทั้งประเทศ



(สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม) ภารณี สวัสดิรักษ์ นักวิชาการด้านผังเมืองชี้ร่างผังเมืองรวมระยองเอื้อประโยชน์นักลงทุน-เพิ่มความเหลื่อมล้ำ  แนะรัฐควรตัดสินใจปรับลดและกำหนดอายุพื้นที่อุตสาหกรรมให้ชัดเจน  พร้อมระบุร่างใหม่มีปัญหาทั่วประเทศโดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้



วันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา  เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกจากหลายพื้นที่ กว่า 50 คน เข้ายื่นหนังสือคัดค้านร่างผังเมืองรวมจังหวัดระยอง ต่อรองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง “นายโอฬาร ศักยโรจน์กุล”  ด้วยเนื้อหาหลายประเด็นที่ชี้ให้เห็นว่าร่างฉบับนี้เอื้อพื้นที่ต่อการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม  โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนำโฉนดที่ดินมาแสดงเพื่อกำหนดเป็นพื้นที่สีม่วง  หรือพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมได้
โดย “นายบุญยิ่ง วงษ์ลิขิต” ตัวแทนกลุ่มคนบ้านค่ายรักษ์บ้านเกิด ได้ตั้งคำถามต่อรองอธิบดีว่าเหตุใดร่างผังจังหวัดระยองจึงกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมท่ามกลางพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม อีกทั้งกำหนดแนวเขตพื้นที่อุตสาหกรรม (สีม่วง) โดยใช้แนวเขตโฉนดที่ดินของเอกชนเพียงบางราย แต่กลับไม่สนใจโฉนดที่ดินของเกษตรกรจำนวนมากที่ทำกินในพื้นที่โดยรอบ
สอดคล้องกับเสียงของนักวิชาการด้านผังเมือง  “นางภารณี สวัสดิรักษ์”  เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม  ตั้งข้อสังเกตว่าการกำหนดแนวเขตพื้นที่อุตสาหกรรมตามโฉนดที่ดินของผู้ประกอบการภาคเอกชนเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในการจัดทำผังเมือง และไม่สอดคล้องกับหลักวิชาการ

“มันคือการวางรากฐานของความไม่เป็นธรรมในกระบวนการวางผังเมือง  ไม่ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นอย่างไร  แต่เราเริ่มต้นฐานคิดที่ว่าถ้าเอกชนมีโฉนดแล้วไปประสานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) แล้วกำหนดพื้นที่สีม่วงให้  อีกหน่อยชาวบ้านแย่แน่เลย  เพราะนายทุนสามารถกว้านซื้อพื้นที่และมาแสดงเจตจำนงกันหมด และจะเห็นว่าในรายงานไม่มีการอธิบายพื้นที่ของชาวประมง  หรือพื้นที่การเกษตรอินทรีย์ในผังเลย  แต่จะมีการอธิบายที่ดินของภาคอุตสาหกรรม  ซึ่งมันเป็นการเหลื่อมล้ำในหลักคิด”
ทั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งความกังวลจาก “นายอุดม ศิริภักดี” ตัวแทนกลุ่มรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านแลง  แม้ว่าผังเมืองในพื้นที่ของตนจะกำหนดให้เป็นพื้นที่สีขาวทแยงเขียว หรือที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม  แต่กลับมีข้อยกเว้นให้สามารถสร้างโรงงานได้บางประเภท อาทิ โรงไฟฟ้าที่ไม่ใช่ถ่านหิน  โรงงานบำบัดน้ำเสีย หรือ โรงงานกำจัดมูลฝอยรวมของชุมชน  ที่สำคัญเขตติดกันทางฝั่งตะวันตกยังเป็นพื้นที่สีชมพูประเภท ช.1 พื้นที่ชุมชนที่อนุญาตให้สร้างโรงงานที่ไม่มีความเสี่ยงสูงได้  จึงเกรงว่าอาจส่งผลกระทบมาถึงชุมชนของตนที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำหรับบริโภค  และพื้นที่เกษตรกรรม
“รอบ ๆ เป็นพื้นที่ ช.1 สีชมพู มันอนุญาตให้โรงงานบางประเภทสร้างได้  ซึ่งมันควรจะยกเลิก  ถ้าประกาศไปตามนี้ชาวบ้านต้องได้รับผลกระทบ  เพราะทิศทางลม  ภูมิศาสตร์  มลพิษมันต้องข้ามยังพื้นที่ของเรา”
จากปัจจัยสำคัญข้างต้นทำให้นักวิชาการด้านผังเมืองเห็นว่ารัฐไม่ได้มีความจริงใจในการลดพื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดระยองจริง  แม้ที่ดินดังกล่าวจะไม่มีศักยภาพในการรองรับได้อีกต่อไปก็ตาม  ทั้งนี้ก่อนที่ผังเมืองจะถูกประกาศใช้ก่อนสิ้นปีนี้  จึงอยากเห็นการปรับลดพื้นที่อุตสาหกรรมลง  รวมถึงการกำหนดอายุวันสิ้นสุดของผังสีม่วงให้ชัดเจน
“เราต้องยอมรับความเป็นจริง  ทรัพยากรที่ดินมันถูกใช้เกินความสมดุลไปแล้ว  เพราะฉะนั้นในการวางผังตรงนี้  มันต้องอยู่บนหลักคิดที่ว่าทำอย่างไรจะค่อย ๆ คืนความสมดุลกลับมาให้เขามากที่สุด”
“การคืนความสมดุลคือการไม่ขยายตัวของอุตสาหกรรม  แล้วผังเองยังต้องกล้าคิดด้วยว่าผังเมืองที่เป็นสีม่วงจะต้องใช้ไปได้ไม่ถึงกี่ปี  เพราะว่าอุตสากรรมมันต้องมีอายุของมัน  คือจะต้องคุย,  ทำงานวิชาการ,  บวกมาตรการทางเศรษฐศาสตร์  ถ้ามาบตาพุดคุ้มทุนอีก 50 ปี  แสดงว่าสีม่วงปีที่ 50 เราจะกลับมาเป็นเขียวแล้วนะ  ไม่งั้นกลายเป็นว่าผังไม่บังคับย้อนหลัง  เมื่อผังนี้หมดอายุไปอุตสาหกรรมอื่นก็กลับมาอีก”
นางภารณียังกล่าวเสริมด้วยว่าไม่เพียงแค่จังหวัดระยองเท่านั้นที่น่าเป็นห่วง  แต่ลักษณะเช่นนี้ยังมีให้เห็นอีกหลายแห่ง  ที่รุนแรงกว่าคือในพื้นที่ภาคใต้  ได้แก่  จังหวัดนครศรีธรรมราช  ที่กำหนดให้พื้นที่สีเขียวสามารถมีอุตสาหกรรมที่ใช้สารเคมีบางประเภทได้  หรือ อ.เทพา จังหวัดสงขลาที่แต่เดิมเป็นพื้นที่สีเขียวก็ถูกเสนอให้ถอดถอนเพื่อสามารถสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินได้  ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมในทุกพื้นที่
“ผังเมืองถูกครอบงำด้วยระบบทุน  แทนที่จะเป็นหลักคิดการจัดพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม  หลักคิดเอานโยบายเป็นตัวตั้ง  และไม่เอาความคิดของการรองรับของพื้นที่  และหลักความเป็นธรรมมาใช้  ในที่สุดแล้วเราจะไม่ได้ผังเมืองที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการทำผัง  เราจะได้ผังเมืองที่เป็นเจตนารมณ์ของผู้ลงทุนด้านเดียวด้วย  อยากจะฟันธงอย่างนี้” นักผังเมืองกล่าวทิ้งท้าย

ขวัญชนก  เดชเสน่ห์  สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม  รายงาน

No comments:

Post a Comment