(ศูนย์สื่อชุมชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม)
อีกไม่นานพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558
ก็จะมีผลบังคับใช้ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
หรือสนช. ได้พิจารณาเห็นชอบผ่านร่างดังกล่าวไปแล้ว (ทั้งวาระ 2 และวาระ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา) และมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 14
กรกฎาคม 2558 ซึ่งจะมีผลเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน
นับแต่วันประกาศ
สำหรับสาระสำคัญของพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มีทั้งสิ้น 35 มาตรา อาทิ ห้ามชุมนุมในรัศมี 150 เมตร เขตพระบรมมหาราชวัง, ห้ามชุมนุมที่รัฐสภา ทำเนียบ และศาล
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ได้รับมอบหมายมีอำนาจประกาศห้ามชุมนุมในระยะห่างไม่เกิน
50 เมตร, ห้ามขวางทางเข้า-ออก
รบกวนการทำงานการใช้บริการหน่วยงานรัฐ ทั้งท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ ขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล สถานศึกษา ศาสนสถาน สถานทูต สถานกงสุล และสถานที่ทำการองค์การระหว่างประเทศ,
ต้องแจ้งการชุมนุมก่อนเริ่มไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งระบุวัตถุประสงค์ และวัน เวลา และสถานที่ที่จะทำการชุมนุมด้วย, ห้ามปราศรัยในเวลาเที่ยงคืนถึง
06.00 น. ต้องไม่เคลื่อนการชุมนุมในเวลา 18.00 - 06.00 น. และการสลายการชุมนุมต้องขออนุมัติจากศาล เป็นต้น
อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงสะท้อนจากเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน ที่ได้ใช้สิทธิในการชุมนุมเรียกร้อง
และผลักดันข้อเสนอต่อการแก้ไขปัญหากับรัฐบาล และหน่วยงานของรัฐมาโดยตลอด เพื่อติดตามปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่จากนโยบายการจัดการทรัพยากร
ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และปัญหาปากท้องของชาวบ้าน
โดยทั้งหมดต่างมองว่าสิทธิ เสรีภาพ ในการชุมนุมกำลังจะถูกลิดรอน กฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อควบคุมการชุมนุม
แต่ปัญหาความเดือดร้อนยังคงดำรงอยู่ไม่ได้รับการแก้ไข
เริ่มต้นที่ นางสาววรรณา ลาวัลย์ จากกลุ่มรักษ์บ้านแหง จังหวัดลำปาง
กล่าวว่า พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มันเป็นการลิดรอนสิทธิของชาวบ้าน
สมมุติถ้าให้ไปชุมนุมในที่ที่เขาจัดไว้มันเหมือนกับให้เรียกเข้าไปประชุม
ชาวบ้านไม่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริง มันไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
ถ้าเกิดมีการอนุญาตให้หน่วยงานรัฐหรือบริษัทเริ่มทำกระบวนการใด
โดยไม่มีส่วนร่วมของประชาชนเราก็ไม่สามารถค้านได้อย่างเต็มที่
นายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์
แกนนำกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ
เพราะเป็นกฎหมายที่เป็นเครื่องมือของรัฐและบริษัทในการใช้ควบคุมชาวบ้าน ซึ่งการที่ชาวบ้านจะไปชุมนุมตรงจุดไหนมันไม่น่าจะต้องขออนุญาต
เพราะบางทีชาวบ้านเดือดร้อนก็ควรไปชุมนุมได้เลย มันเป็นสิทธิอยู่แล้ว
นางมณี
บุญรอด แกนนำกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี กล่าวว่า
การชุมนุมถ้าต้องให้ไปขออนุญาตจากตำรวจหรือผู้ว่า
ตนไม่เห็นด้วยเพราะละเมิดสิทธิของประชาชน การออกพ.ร.บ.ดังกล่าว
ถือว่าเป็นการออกมาเพื่อละเมิดสิทธิประชาชน
นางระเบียง แข็งขัน จากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโคกหินขาว อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ทำอะไรจะต้องขออนุญาตภาครัฐ เราจำเป็นอะไรที่จะต้องขออนุญาตทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็ไม่ใช่จะทำอะไรให้มันเสียหาย เพราะเราชุมนุมอย่างสันติไม่ได้ทำให้ทางราชการเสียหาย
นายสมยศ แสนโคตร
จากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนามูล จังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า
ไม่เห็นด้วยกับตรงที่ว่าการชุมนุมต้องขออนุญาตก่อน
เพราะถ้าอย่างนั้นเขาก็ห้ามชุมนุมได้
ซึ่งการชุมนุมมันเป็นการใช้สิทธิ์ในการแสดงออก
แล้วก็ไม่เห็นด้วยกับการห้ามเคลื่อนย้ายการชุมนุมเพราะว่าบางครั้งในช่วงก่อนค่ำเราก็ต้องการคนมารับฟังในสิ่งที่เราชุมนุม
อีกอย่างมันควรขึ้นอยู่กับความพร้อมว่าเราสะดวกชุมนุมช่วงไหนเคลื่อนย้ายเวลาไหนมันเป็นสิทธิของเรา
นายพุฒ บุญเต็ม
ผู้ประสานงานสมัชชาคนจนเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา กล่าวว่า
มันจำกัดสิทธิกันเกินไป เราจึงไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายแบบนี้ ซึ่งออกมาเพื่อป้องกันคนชุมนุมขับไล่รัฐบาล
แต่พวกเราเคลื่อนไหวเพื่อแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิชาวบ้าน
มันก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ข้าราชการไม่ฟัง
รัฐบาลไม่สนใจบางครั้งมันก็ต้องเดินขบวน
บางครั้งมันก็ต้องชุมนุมถึงจะมีอำนาจต่อรอง
นายวิเชียร ศรีจันทร์นนท์ ประธานกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง
จังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับพ.ร.บ.
ตัวนี้ในทุกข้อเพราะว่ามันออกโดยรัฐบาลทหารที่ควบคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จในมือ แค่เสียงของชาวบ้านตอนที่ยังไม่มีพ.ร.บ.นี้รัฐเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว
รัฐบาลทหารออกกฎหมายมาก็เพื่อเอื้อประโยชน์ให้คนรวยไม่เคยสนใจเสียงของคนจน ไม่ให้แสดงออก ไม่ให้ออกสิทธิ์ออกเสียง
นางอมรรัตน์ วิเศษหวาน
แกนนำคณะกรรมการเครือข่ายลุ่มน้ำชี กล่าวว่า ปัญหาของพวกเรายังไม่ถูกแก้ไข ซึ่งเขาออกกฎหมายแบบนี้พวกเราไม่มีสิทธิขยับได้เลย
เราชุมนุมเพราะเดือดร้อนจริงๆ ไม่ใช่ชุมนุมทางการเมือง ขนาดชุมนุมอยู่หน้าศาลากลางแท้ๆ
เขายังไม่อยากรับเรื่องหรือลงมาคุยกับเราเลย แล้วนับประสาอะไรถ้าไปชุมนุมในที่ๆเขาจัดให้เขาจะมาฟังเรื่องของเราเหรอ
ดังนั้นการที่ชาวบ้านเขาชุมนุมเรื่องปัญหาปากท้องเขาจริงๆ ก็ควรมีข้อยกเว้น
นางอรนุช ผลภิญโญ กองเลขาเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน
กล่าวว่า มันเป็นการจำกัดสิทธิประชาชนที่จะแสดงออก เช่น
การชุมนุมที่ต้องขออนุญาตก่อน 24 ชั่วโมง แล้วถ้าเขาไม่อนุญาตล่ะ
เพราะว่าการเรียกร้องของชาวบ้าน ความเดือดร้อนของชาวบ้านมันรอไม่ได้
ถ้าไม่ให้ชุมนุมอยู่ศาลากลางแล้วจะให้ไปชุมนุมอยู่ไหน ไม่เห็นด้วยกับการที่ออก
พ.ร.บ.นี้ ซึ่งการปกครองในระบอบใดก็ตามประชาชนควรจะมีสิทธิในการแสดงออกในการชุมนุม
สุดท้ายนายไพฑูรย์ สร้อยสด
จากสมัชชาคนจนกรณีหมู่บ้านเก้าบาท กล่าวว่า ตามหลักประชาธิปไตยแล้ว
มันก็ไม่น่าที่จะมาจำกัดสิทธิตัวนี้
สมมุติว่าถ้าไม่ให้ชุมนุมในสถานที่ราชการแล้วไปชุมนุมในป่าใครจะมาสนใจเสียงของชาวบ้าน
เพราะต้นตอของปัญหามันไม่ได้เกิดจากชาวบ้านแต่มันเกิดจากผู้มีอำนาจเป็นผู้มาสร้างปัญหา
ที่ผ่านมาถ้าหากเราต้องการให้รัฐบาลช่วยแก้ปัญหาเราก็ต้องใช้วิธีการชุมนุมเพื่อกดดันรัฐบาลมันก็ยังพอมีเสียงมีช่องทางบ้าง
แต่พอพ.ร.บ.ตัวนี้ออกมามันเหมือนเป็นการตัดแขนตัดขาชาวบ้าน
.................
ภาพ : สำนักข่าวอิศรา
Nice blog, thank you for sharing your views and insights. if possible I would like to kindly recommend Bangkok Airport Transfer Van Service.
ReplyDelete