‘ประมงเรือเล็กระยอง’ยัน ไม่เจรจารับเงินชดเชยน้ำมันรั่ว หาก ‘บ.พีทีทีจีซี’ ไม่ทำแผนฟื้นฟูทะเล
ศาลระยองไกล่เกลี่ยคดีน้ำมันรั่วไม่เป็นผล
ชาวบ้านยันไม่คุยเรื่องเงินชดเชย หากบริษัทฯ ไม่จริงใจทำแผนฟื้นฟูทะเล ชี้แผนฯเดิมทำร่วมหน่วยงานรัฐเน้นแก้ท่องเที่ยว
ไม่สนใจขจัดมลพิษ ศาลนัดหน้า 13 มี.ค.
(ศูนย์ข้อมูลชุมชน)
วันที่ 16 ม.ค. 58 เวลา 9.00 น. ที่ศาลจังหวัดระยอง
นายสรุพงค์ ไกรสุวรรณ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดระยองออกนั่งไกล่เกลี่ยข้อพิพาทครั้งแรก
ระหว่างโจทก์ สมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กจังหวัดระยอง พร้อมชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบกรณีน้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลพื้นที่จังหวัดระยองเมื่อวันที่
27 ก.ค. 56 รวม 429 ราย ซึ่งยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายและขอให้มีการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟู
กับ จำเลย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน)
(พีทีทีจีซี) ในฐานะผู้ก่อมลพิษ
นางสาวส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความโจทก์
เปิดเผยว่า การไกล่เกลี่ยในวันนี้มีตัวแทนชาวประมงพื้นบ้านและชาวบ้านแต่ละชุมชนเข้าเจรจากับฝ่ายจำเลย
โดยชาวบ้านต้องการให้มีการพูดคุยเรื่องแนวทางการฟื้นฟูทรัพยากรทะเลก่อนการเจรจาเรื่องการชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะตัว
ขณะที่ฝ่ายจำเลย บริษัท พีทีทีจีซี ระบุว่า การฟื้นฟูทะเลนั้น
บริษัทฯมีแผนการและได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยราชการอยู่แล้ว และเห็นควรให้เจรจาเรื่องค่าเสียหายก่อน
อย่างไรก็ดีชาวบ้านยังยืนยันตามเจตนารมณ์เดิม
คือ หากจะมีการพูดคุยเรื่องการชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะตน จะต้องมีการพูดคุยเรื่องแผนการฟื้นฟูทะเลที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาด้านทรัพยากรอย่างแท้จริงก่อน ศาลจึงนัดให้มีการไกล่เกลี่ยครั้งที่สอง ในวันที่
13
มี.ค. 58 เวลา 9.00 น. โดยให้จำเลยนำแผนการฟื้นฟูทะเลที่ทำร่วมกับหน่วยงานราชการมาร่วมเจรจาในครั้งหน้าด้วย
ด้านนายไพบูลย์ เล็กรัตน์ แกนนำชาวประมงพื้นบ้าน
โจทก์ในคดี กล่าวว่า “เราเห็นว่าแผนฟื้นฟูทะเลระยองซึ่งบริษัทฯดำเนินงานร่วมกับหน่วยราชการนั้น
มุ่งเน้นฟื้นฟูแต่การท่องเที่ยวของเกาะเสม็ดเป็นหลัก โดยไม่ได้พูดถึงการแก้ปัญหาทรัพยากรทะเล
โดยเฉพาะตะกอนน้ำมันที่ยังตกค้างเป็นสารพิษในธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม จึงเสนอให้ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนหลักคิดการฟื้นฟูมามุ่งเน้นที่การฟื้นฟูทะเลก่อน หากทรัพยากรทะเลกลับมาสมบูรณ์ การท่องเที่ยวก็จะดีตามมา
ส่วนเรื่องค่าเสียหายซึ่งทางบริษัทฯพยายามให้เจรจาก่อนนั้น เราเห็นเป็นเรื่องรอง เพราะชาวบ้านและชาวระยองจะเดือดร้อนยิ่งกว่าถ้าไม่สามารถฟื้นฟูทรัพยากรทะเลให้กลับมาสมบูรณ์ได้”
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ชาวบ้านจึงได้เสนอแนวทางการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนไปพร้อมกันด้วย
โดยมีแนวทางคร่าวๆในการฟื้นฟู คือ หนึ่ง ต้องมีการสำรวจและจัดเก็บตะกอนน้ำมันที่ยังตกค้างตามร่องน้ำและแนวปะการังให้หมดก่อน สอง ควรมีกระบวนการลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบให้การฟื้นฟูทะเล
เช่น การปล่อยน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมทางมลพิษ สาม
เสนอให้มีการปิดอ่าวโดยห้ามเครื่องมือประมงอวนลาก และคราดหอยซึ่งจะลากเครื่องมือไปตามผิวหน้าดิน
ทำให้ตะกอนน้ำมันกระจาย สี่ เสนอให้ประกาศเขตควบคุมพิเศษทางมลพิษซึ่งห่างจากชายฝั่งไป
20
ไมล์ทะเล
จากนั้นจึงค่อยดำเนินการฟื้นฟูอย่างจริงจัง เช่น
การสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล ฯลฯ ต่อไป
“สุดท้าย เรายังยืนยันให้มีการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ
โดยนำเงินจากผลกำไรโดยเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปีของบริษัทฯมาใช้ดำเนินการแก้ปัญหา
โดยไม่ควรนำภาษีของประชาชนมาใช้ เพราะผู้ทำให้เกิดความเสียหายควรเป็นผู้จ่าย”
นายไพบูลย์กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ที่มาของคดีดังกล่าว สมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กระยอง
ชาวประมงพื้นบ้าน และกลุ่มแม่ค้าผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบของบริษัท
พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) (พีทีทีจีซี) รั่วไหลออกทะเล พื้นที่จังหวัดระยอง
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 56 รวม 429 ราย ได้ยื่นฟ้อง
บริษัท พีทีทีจีซี ในฐานะผู้ก่อมลพิษ (คดีแพ่ง) และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง (คดีปกครอง) ประกอบด้วย คณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน(กปน.) กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมควบคุมมลพิษ
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง
ในฐานะผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายในการบำบัดแก้ไขปัญหามลพิษและบรรเทาผลกระทบที่เกิดแก่ทรัพยากรทางทะเล
ชายฝั่ง ต่อศาลจังหวัดระยอง ความแพ่ง และศาลปกครองระยอง ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 57
ที่ผ่านมา โดยได้ขอให้มีการชดใช้ค่าเสียหายจากการสูญเสียรายได้ในการประกอบอาชีพโดยประมาณกว่า
400 ล้านบาท* และขอให้มีการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติจากปัญหาน้ำมันรั่ว
โดยให้บริษัทฯจัดสรรงบประมาณสู่กองทุนฯคิดเป็นร้อยละ 10
ของกำไรเฉลี่ยต่อปี (บริษัท พีทีทีจีซี
มีกำไรเฉลี่ยต่อปีประมาณ 30,000 ล้านบาท)
* หมายเหตุ: ยอดความเสียหายตามฟ้องดังกล่าวยังไม่แน่นอน
แต่เป็นความเสียหายประมาณการที่คาดว่าจะฟ้องทั้งหมด
No comments:
Post a Comment