ชาวกัมพูชาประท้วงบริษัทน้ำตาลยักษ์ใหญ่จากไทยไม่จริงใจในการแก้ไขข้อพิพาทด้านที่ดินที่เรื้อรังในกัมพูชา
(25 ต.ค. 57) เกาะกง, กัมพูชา – กว่าแปดปีที่ผ่านมาเกษตรกรในสามหมู่บ้าน กว่า 300 คนในจังหวัดเกาะกง กัมพูชา ต้องถูกยึดที่ดินไปอย่างผิดกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อนำไปทำแปลงปลูกอ้อยขนาดเกือบ 1.2 แสนไร่ ซึ่งเจ้าของกิจการเป็นบริษัทในกัมพูชาที่มีอิทธิพลทางการเมือง และอยู่ใต้การควบคุมของบริษัทน้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) (เคเอสแอล) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำตาลยักษ์ใหญ่จากไทย และมีการจัดทำสัญญาซื้อขายเป็นการเฉพาะกับบริษัท Tate & Lyle PLC จากสหราชอาณาจักร ในปัจจุบัน เคเอสแอลได้พยายามแก้ไขข้อพิพาทย้อนหลัง โดยจัดประชุมกับชาวบ้าน 20 กว่าคนในวันนี้......
ศูนย์กฎหมายศึกษาเพื่อชุมชน
(Community Legal Education Center)
ซึ่งเป็นตัวแทนด้านกฎหมายให้กับชุมชนในการฟ้องคดีกับศาลกัมพูชา ร่วมกับ
EarthRights ซึ่งให้ความสนับสนุนกับศูนย์กฎหมายศึกษาเพื่อชุมชนในการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
(กสม.) ซึ่งเป็นข้อร้องเรียนต่อเคเอสแอล
ได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับกระบวนการจัดเตรียมการเจรจาของเคเอสแอล
ชาวบ้านได้จัดประท้วงในวันนี้เพราะไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในการเจรจา
และทางบริษัทไม่ได้มีข้อเสนอที่จะเจรจาเกี่ยวกับที่ดินของพวกเขาแต่อย่างใด แอน
เฮยา (Ann Heiya)
หนึ่งในตัวแทนของชุมชนแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับวิธีการทำงานของบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศไทย
โดยเขาระบุว่า
“คนในชุมชนของเราต่อสู้เป็นเวลานานเพื่อใช้กฎหมายเอาผิดกับขโมยที่ยึดที่ดินเราไป
“พวกเขาต้องการให้ข้อพิพาทยุติลง แต่ปัญหาจะไม่จบจนกว่าทางบริษัทยินยอมนั่งลงเจรจาอย่างเปิดเผยกับเราทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้เพื่อแสวงหาแนวทางดีสุดในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น สำหรับพวกเราแล้ว การเจรจาไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของเงิน แต่ยังต้องเกี่ยวข้องกับที่ดินของเราด้วย
“เราหวังว่าทางบริษัทที่เกาะกง เคเอสแอล และบริษัท Tate & Lyle จะรับฟังข้อเรียกร้องของเรา และตกลงเจรจากับเราและทนายความของเรา”
เตสซา
เกรกอรี (Tessa Gregory) กล่าวว่า “เราได้เชิญให้เคเอสแอลเข้าร่วมในการประชุมเพื่อไกล่เกลี่ยกับสำนักงานกฎหมาย
Leigh Day ศูนย์กฎหมายศึกษาเพื่อชุมชน ตัวแทนของชุมชน
และบริษัท Tate & Lyle
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเคเอสแอลจะเข้าร่วมการประชุม
เพื่อให้ทุกฝ่ายได้นั่งลงและหาแนวทางยุติข้อพิพาทอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส”
อย่างไรก็ดี
ชาวบ้านส่วนใหญ่เกือบทั้ง 200 ครอบครัวที่ต้องการได้ที่ดินของตนคืนมาทั้งในหมู่บ้าน
Trapeang Kandol, Chhouk และ Chikor ในอำเภอสะเลออัมบึล
จังหวัดเกาะกง กลับไม่ได้รับเชิญให้ไปประชุมกับบริษัท นอกจากนั้น ทนายของชุมชน ศูนย์กฎหมายศึกษาเพื่อชุมชน
และสำนักงานกฎหมาย Leigh Day จากลอนดอน ก็ไม่ได้รับเชิญให้ไปประชุมเช่นกัน
ในขณะที่มีสื่อมวลชนทั้งไทยและกัมพูชาเข้าร่วมสังเกตการณ์การเจรจา
ข้อพิพาทที่ยืดเยื้อเป็นผลมาจากการให้สัมปทานที่ดินด้านเศรษฐกิจขนาดใหญ่
(Economic Land Concession)
กับโครงการปลูกอ้อยและโรงงานน้ำตาล ส่งผลให้มีการอพยพของประชาชนจำนวนมาก
สร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อวิถีชีวิต และก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง
ผู้ชำนาญการอิสระหลายท่านรวมทั้งที่มาจากสำนักงานองค์การสหประชาชาติแห่งกัมพูชาได้เข้ามาจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการกว้านซื้อยึดครองที่ดินครั้งนี้
ทางสำนักงานกฎหมาย Leigh Day
จากลอนดอนได้รับเป็นตัวแทนว่าความให้ชาวบ้าน 200 ครอบครัวในการฟ้องคดีต่อบริษัท T&L ต่อศาลในอังกฤษ
และเสนอให้มีการไกล่เกลี่ยคดีในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม 2557 เคเอสแอลยังได้รับเชิญจากศูนย์กฎหมายศึกษาเพื่อชุมชน
และสำนักงานกฎหมาย Leigh Day ให้เข้าร่วมในการไกล่เกลี่ยคดีครั้งนี้
ซึ่งอาจมีขึ้นในกัมพูชาหรือไทย
วีรัก
เยง (Virak Yeng) ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายศึกษาเพื่อชุมชนกล่าวว่า “หลายครอบครัวที่ถูกยึดที่ดินไปเมื่อปี
2549 ตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก แต่พวกเขายังมุ่งมั่นที่จะใช้การรณรงค์ด้านกฎหมายและการกดดันอย่างอื่น
เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นธรรมและยุติธรรม”
เคเอสแอลยังถูกร้องเรียนผ่านกลไกในประเทศไทย
กล่าวคือชาวบ้าน 200 ครอบครัวซึ่งมีตัวแทนเป็นศูนย์กฎหมายศึกษาเพื่อชุมชนจากการกัมพูชาและด้วยความสนับสนุนจาก
EarthRights International ได้ยื่นข้อร้องเรียนต่อกสม.เมื่อวันที่ 6
มกราคม 2553 โดยกล่าวหาว่าทางเคเอสแอล โดยผ่านบริษัทลูกในกัมพูชา
ได้รับสัมปทานในที่ดินซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยสัมปทานที่ดินด้านเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของกัมพูชา
และกฎหมายและมาตรฐานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน กสม.ได้รับเป็นกรณีเพื่อการสอบสวนหมายเลข
58/2553 และในเดือนกรกฎาคม 2555
กสม.ได้เปิดเผยผลการสอบสวนในเบื้องต้นซึ่งระบุว่า
เคเอสแอลละเมิดสิทธิมนุษยชนของชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยผ่านสัมปทานที่ดินด้านเศรษฐกิจขนาดใหญ่ดังกล่าว
โดยในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า กสม.จะมีแถลงการณ์ในขั้นสุดท้าย
เดเนียล
คิง (Daniel King) ผู้อำนวยการกฎหมายในภูมิภาคแม่น้ำโขงของ ERI
กล่าวว่า “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าน่าจะได้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน
โดยเป็นผลจากการกระทำของบริษัทเคเอสแอลจากไทย ในตอนนี้ ทางเคเอสแอลควรยอมรับความรับผิดชอบอย่างเปิดเผย
และหาทางแก้ไขข้อพิพาทโดยผ่านกระบวนการที่เปิดเผยและโปร่งใสโดยให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทุกคนมีส่วนร่วม”
.........................
ที่มาภาพ : เฟซบุ๊ก Sokha Sek
No comments:
Post a Comment