About Us

My photo
1518 Soi Jaransaniwong 75 Junction 32, Bangphlad, Bangphlad,, Bangkok 10700, Thailand
The Community Resources Centre Foundation (CRC) is a non-governmental organisation which is committed to protect and promote the Human Rights, Community Right and the Environment. CRC is a watchdog on the implementation of ICCPR and ICESCR. มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (ศขช.) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร ตั้งขึ้นมาเพื่อทำงานในการปกป้องและส่งเสริม สิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และสิ่งแวดล้อม ศขช.เฝ้าระวังสถานการณ์ ตามกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และกติกาสากลว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

Sunday, August 10, 2014

‘นิติฯ ม.ทักษิณ’ จับมือ ‘ศูนย์ข้อมูลชุมชน’-หน่วยงานรัฐ ให้ความช่วยเหลือกฎหมายชุมชนใต้ ดึงนิสิตใกล้ชิดท้องถิ่น - อุดช่องว่างเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม


นิติฯ ม.ทักษิณ จับมือ ศูนย์ข้อมูลชุมชน’-หน่วยงานรัฐ ให้ความช่วยเหลือกฎหมายชุมชนใต้ ดึงนิสิตใกล้ชิดท้องถิ่น - อุดช่องว่างเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม



(Community Resource Centre ศูนย์ข้อมูลชุมชน)

วันที่ 8 ส.ค. 57 ที่มหาวิทยาลัยทักษิณ จ.สงขลา  คณะนิติศาสตร์ ม.ทักษิณ ร่วมกับศูนย์ข้อมูลชุมชน (Community Resource Centre : CRC) จัดประชุม โครงการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย โดยมีผู้แทนชาวบ้านโรงเรียนสิทธิชุมชนเขาคูหา  อ.รัตภูมิ จ.สงขลา และ ผู้แทนสำนักงานยุติธรรมจังหวัดสงขลา เข้าร่วมหารือ ทั้งนี้เพื่อหาแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนในการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนผู้ถูกละเมิดสิทธิในพื้นที่ภาคใต้ ครอบคลุมประเด็นสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และสิทธิในสิ่งแวดล้อม

นายเอกชัย อิสระทะ โรงเรียนสิทธิชุมชนเขาคูหา  ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีการประกอบกิจการเหมืองหินปูน ในพื้นที่ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา กล่าวว่า จากประสบการณ์การต่อสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรชุมชนที่ผ่านมาพบว่า ในกรณีที่ชาวบ้านหรือชุมชนถูกละเมิดสิทธิจากโครงการของรัฐ หรือ โครงการเอกชนซึ่งเกี่ยวข้องกับรัฐ  การเคลื่อนไหวเพื่อพิทักษ์สิทธิชุมชนมักเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากหน่วยงานมักมองว่าเป็นการสร้างความวุ่นวาย  ประกอบกับหวาดกลัวอิทธิพลท้องถิ่น ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานในพื้นที่ และต้องหันหน้าพึ่งหน่วยงานกลางในกรุงเทพฯเท่านั้น  โอกาสในการเข้าถึงความยุติธรรมของชาวบ้านมีน้อย

ตัวอย่าง ผลของการประกอบกิจการเหมืองหินปูนในพื้นที่เขาคูหา ที่ทำให้บ้านเรือนแตกร้าวกว่า 300 หลัง พื้นที่เกษตรกรรมได้รับผลกระทบ แม้จะเป็นปัญหาเรื้อรังที่มีนาน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าฟ้องคดี เพราะไม่รู้ขั้นตอนทางกฎหมาย ไม่รู้แนวทางการเก็บข้อมูล และไม่มั่นใจว่าหน่วยงานในท้องถิ่นมีความสัมพันธ์กับทุนอย่างไร ฉะนั้นการให้ความรู้แก่ชุมชนจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเวลานี้เราแทบหาที่พึ่งในพื้นที่ไม่ได้ นายเอกชัย กล่าว

นางสาวส.รัตนมณี  พลกล้า  ทนายความศูนย์ข้อมูลชุมชน  ระบุว่า  ปัญหาสำคัญอีกประการในการต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อเพื่อพิทักษ์สิทธิของชุมชน คือ การขาดข้อมูลทางวิชาการ หรือ งานวิจัย เช่น  ข้อมูลเชิงคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น  ซึ่งจะเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินงานทางกฎหมาย ศูนย์ข้อมูลชุมชนในฐานะองค์กรเอกชนซึ่งดำเนินงานให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย  จึงร่วมกับคณะนิติศาสตร์ ม.ทักษิณและหน่วยงานรัฐซึ่งมี โครงการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายอยู่แล้ว ได้ร่วมมือกันทำงานในด้านการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่เต็มรูปแบบ โดยเริ่มจากในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อให้สถาบันการศึกษาในพื้นที่สามารถเป็นคลังปัญญาและให้คำปรึกษาแก่ชุมชนซึ่งส่วนใหญ่ประสบปัญหาถูกละเมิดสิทธิการทำกินและการใช้ฐานทรัพยากรได้ 

การดำเนินงานทางกฎหมายในหลายคดี แม้ชาวบ้านจะมีศักยภาพเก็บข้อมูลในพื้นที่ เช่น ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อทรัพยากร ซึ่งเป็นข้อมูลชั้นดีจากคนในพื้นที่ แต่ต้องยอมรับว่าในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเข้าสู่กระบวนการศาล ข้อมูลเหล่านั้นกลับมีน้ำหนักเบา โดยศาลมักไม่ให้ความเชื่อถือเท่าข้อมูลทางวิชาการ ซี่งภาคเอกชนมีศักยภาพในการจัดหาได้มากกว่า ทนายความศูนย์ข้อมูลชุมชนกล่าว

ด้าน นายศรุต จุ๋ยมณี คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ทักษิณ กล่าวว่า  การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ชาวบ้านเป็นพันธกิจของคณะและนโยบายของมหาวิทยาลัย โดยที่ผ่านมาคณะได้ดำเนินการจัดตั้ง คลินิกกฎหมายเพื่อให้ความรู้แก่ชาวบ้านในพื้นที่อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี คลินิกกฎหมายทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษา แต่ไม่สามารถดำเนินงานทางคดีให้ชาวบ้านได้  ดังนั้นหากการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ชุมชนสามารถดำเนินงานบนความร่วมมือของทุกฝ่ายได้เต็มรูปแบบ ทั้งงานด้านวิชาการ งานคดี และการเข้าถึงกระบวนการรัฐ ก็จะทำให้ชุมชนมีโอกาสเข้าถึงความยุติธรรมในพื้นที่มากขึ้น  โดยในส่วนของมหาวิทยาลัยเองสามารถให้ความช่วยเหลือด้านงานทำวิจัย การสืบค้นข้อมูล และชี้แนะให้คำปรึกษาได้ ซึ่งนอกจากจะเกิดประโยชน์แก่ชุมชนแล้ว ยังถือเป็นการสร้างบันฑิตนิติศาสตร์ที่มีจิตสาธารณะและมีทักษะวิชาชีพนอกเหนือไปจากความรู้ในชั้นเรียนจากการทำงานใกล้ร่วมกับชุมชนต่อไปได้อีกด้วย 

ทั้งนี้ การก่อตั้งโครงการดังกล่าวยังรวมถึงการสร้างนักกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือที่เรียกว่า “Public Interest Lawyers” โดยภาคประชาสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกับคณะนิติศาสตร์จัดหลักสูตรการเสริมสร้างให้นักศึกษาในคณะได้เรียนรู้ปัญหาสังคมที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างเสริมจิตสำนึกแก่นักกฎหมายรุ่นใหม่ ให้สนใจทำงานเพื่อสังคม และเพิ่มนักกฎหมายที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะให้มากขึ้น โดยจะร่วมกันทำบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวให้ประสบผลเชิงรูปธรรมต่อไป

No comments:

Post a Comment